การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013

Advertisement

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  พลับพลาได้งานถมดินสนามบินหนองงูเหลือมต้องใช้รถยนต์บรรทุกดินเป็นจำนวนมากเพื่อความสะดวกกับการเติมน้ำมันให้กับรถบรรทุกดินพลับพลาจึงทำข้อตกลงกับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  ผู้ให้บริการน้ำมันที่ตำบลหนองงูเหลือม  โดยรถยนต์บรรทุกดินของพลับพลาจะเติมน้ำมันที่บริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  จนกว่างานถมดินจะเสร็จโดยบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  จะเติมน้ำมันให้กับรถยนต์ของพลับพลาไปก่อนและส่งใบเสร็จค่าน้ำมันและยอดเงินที่พลับพลา  จะต้องชำระให้พลับพลาตรวจทุกๆ  45  วัน  ส่วนพลับพลาจะชำระราคาน้ำมันให้กับบริษัท ป.ต.อ.  จำกัดภายใน  15  วันนับแต่ที่ทางบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  ส่งใบเสร็จค่าน้ำมันและยอดเงินที่ต้องชำระ  ดังนี้  นิติสัมพันธ์ระหว่างพลับพลากับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  เป็นบัญชีเดินสะพัดหรือไม่เพราะเหตุใด

ข  ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงิน  ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน  ผู้สั่งจ่ายเช็ค  จะเขียนข้อกำหนดว่า  ให้ผู้จ่ายผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน  ธนาคารผู้ใช้เงิน ชำระดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ให้กับผู้ทรงตั๋วเงินด้วยได้หรือไม่  ถ้าได้จะคิดดอกเบี้ยกันแต่วันใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

มาตรา  856  อันว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง  ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน  และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค

วินิจฉัย

นิติสัมพันธ์ระหว่างพลับพลากับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  นั้นเป็นการซื้อขายน้ำมันกันโดยที่บริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  ส่งมอบน้ำมันให้กับพลับพลาไปก่อนแล้วพลับพลาจะชำระราคาให้ในภายหลัง  ดังนั้นพลับพลาผู้ซื้อจึงเป็นลูกหนี้บริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  ผู้ขายอยู่ฝ่ายเดียวที่จะต้องชำระราคาน้ำมัน  โดยที่บริษัท  ป.ต.อ.  จำกัดก็เป็นเจ้าหนี้อยู่ฝ่ายเดียวเช่นกันที่มีสิทธิที่จะได้รับชำระราคา  ทั้งคู่จึงไม่ได้ตกลงกันตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดแก่กิจการในระหว่างพลับพลากับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  โดยการหักกลบลบกันและชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาคอันเป็นหลักสำคัญของบัญชีเดินสะพัด  นิติสัมพันธ์ระหว่างพลับพลากับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัดจึงมิใช่สัญญาบัญชีเดินสะพัด  ตามมาตรา  856

ข  อธิบาย

1       กรณีเป็นตั๋วแลกเงิน  ผู้สั่งจ่ายจะเขียนข้อกำหนดลงไว้ในตั๋วแลกเงินว่าให้ผู้จ่ายชำระดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ให้กับผู้ทรงตั๋วแลกเงินด้วยก็ได้  และจะเริ่มคำนวณนับดอกเบี้ยกันเมื่อใดก็สุดแล้วแต่ผู้สั่งจ่ายจะกำหนดไว้  หากมิได้กำหนดไว้กฎหมายบัญญัติให้คิดดอกเบี้ยกันตั้งแต่วันเดือนปีที่ลงในตั๋วแลกเงินนั้น  (มาตรา  911)

2       กรณีเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน  ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะเขียนข้อกำหนดลงไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินว่าจะชำระดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ให้กับผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินด้วยก็ได้  และจะเริ่มคำนวณนับดอกเบี้ยกันเมื่อใดก็สุดแล้วแต่ผู้ออกตั๋วจะกำหนดไว้  หากมิได้กำหนดไว้กฎหมายบัญญัติให้คิดดอกเบี้ยกันตั้งแต่วันเดือนปีที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเช่นเดียวกับตั๋วแลกเงิน  เนื่องจากมาตรา  985  วรรคแรก  บัญญัติให้นำมาตรา  911  มาใช้บังคับกับตั๋วสัญญาใช้เงินด้วย  (ฎ. 193/2536)

3       กรณีเป็นเช็ค  ผู้สั่งจ่ายเช็คจะเขียนข้อกำหนดลงไว้ในเช็คว่าให้ธนาคารผู้จ่ายชำระดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ให้กับผู้ทรงเช็คด้วยไม่ได้  เนื่องจากมาตรา  989  วรรคแรก  มิได้บัญญัติให้นำมาตรา  911  มาใช้บังคับกับเช็คด้วย  (ฎ. 3421/2525)

สรุป  นิติสัมพันธ์ระหว่างพลับพลากับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  มิใช่สัญญาบัญชีเดินสะพัด

 

ข้อ  2  ก  ในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้นผู้สลักหลังสามารถที่จะทำการสั่งห้ามมิให้ทำการโอนตั๋วแลกเงินฉบับนั้นต่อไปได้หรือไม่  อย่างไร  จงอธิบายมาโดยละเอียด

ข  นาย  A  สั่งจ่ายเช็คจำนวน  100,000  บาท  ระบุชื่อนาย  B  เป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่าหรือผู้ถือออกแล้วส่งมอบให้แก่  นาย  B  เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าที่มีต่อกัน  ต่อมานาย  B  ได้สลักหลังเช็คฉบับนั้นชำระค่าเช่าอาคารให้แก่นาย  C  พร้อมทั้งระบุข้อความ  “ห้ามสลักหลังต่อไป”  ลงไว้ในเช็คฉบับนั้นด้วย  ต่อมานาย  C  นำเช็คนั้นไปสลักหลังขายลดให้กับนาย  D  ต่อมานาย D  สลักหลังเช็คนั้นให้แก่นาย  E เพื่อเป็นค่าสินค้า  เมื่อเช็คนั้นถึงกำหนดชำระเงินนาย  E  นำเช็คไปขึ้นเงิน  แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น

ถามว่า  นาย  E  จะสามารถบังคับไล่เบี้ยเอาเงินตามเช็คจากนาย  C  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

มาตรา  923  “ผู้สลักหลังคนใดระบุข้อห้ามสลักหลังสืบไปลงไว้แล้ว  ผู้สลักหลังคนนั้นย่อมไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลอันเขาสลักหลังตั๋วแลกเงินนั้นให้ไปในภายหลัง”

จะเห็นว่ากฎหมายให้สิทธิผู้สลักหลังระบุข้อความห้ามโอนหรือห้ามสลักหลังต่อลงไว้ในตั๋วแลกเงินได้เช่นเดียวกับผู้สั่งจ่าย  ซึ่งถ้าผู้รับสลักหลังฝ่าฝืนข้อห้ามทำการสลักหลังโอนต่อไปอีก  ผลก็คือ  ผู้สลักหลังที่ระบุข้อความห้ามโอนไว้  ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อผู้ทรงคนสุดท้ายตลอดจนบรรดาผู้สลักหลังทั้งหลายที่สลักหลังภายหลังผู้สลักหลังที่ถูกระบุห้ามโอนนั้น

ข  อธิบาย

มาตรา  900  วรรคแรก  บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น

มาตรา  914  บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า  เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว  ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี  หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี  ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง  หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น  ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว

มาตรา  923  ผู้สลักหลังคนใดระบุข้อห้ามสลักหลังสืบไปลงไว้แล้ว  ผู้สลักหลังคนนั้นย่อมไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลอันเขาสลักหลังตั๋วแลกเงินนั้นให้ไปในภายหลัง

มาตรา  967  วรรคแรก  ในเรื่องตั๋วแลกเงินนั้น  บรรดาบุคคลผู้สั่งจ่ายก็ดีรับรองก็ดี  สลักหลังก็ดี  หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดี  ย่อมต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง

ผู้ทรงย่อมมีสิทธิว่ากล่าวเอาความแก่บรรดาบุคคลเหล่านี้เรียงตัว  หรือรวมกันก็ได้  โดยมิพักต้องดำเนินตามลำดับที่คนเหล่านั้นมาต้องผูกพัน

มาตรา  989  วรรคแรก  บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด  2  อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้  คือบทมาตรา  910  914  ถึง  923…967  971

วินิจฉัย

จากข้อเจจริงนาย  B  ได้สลักหลังโดยระบุข้อความห้ามสลักหลังต่อไปไว้ด้วยนั้น  มิได้ทำให้สภาพการเปลี่ยนมือได้ของเช็คฉบับนั้นสิ้นสุดลงแต่ประการใด  เพียงแต่มีผลให้นาย  E  ไม่สามารถไล่เบี้ยนาย  B  ได้เท่านั้น  แต่สำหรับผู้สลักหลังรายอื่นๆแล้ว  ยังคงต้องรับผิดต่อนาย  E  อยู่  ตามมาตรา  900  ประกอบมาตรา  914 ,  967  วรรคแรกและสอง

ดังนั้น  นาย  E  จึงสามารถบังคับไล่เบี้ยเอาเงินตามเช็คจากนาย  C  ได้  ตามมาตรา  900 ,  914  ,  923  ,  967  วรรคแรกและวรรคสอง  ประกอบมาตรา  989  วรรคแรก

สรุป  นาย  E  สามารถไล่เบี้ยเอาเงินตามเช็คจากนาย  C  ได้

 

ข้อ  3  ก  ให้อธิบายโดยอ้างอิงหลักกฎหมายในกรณีที่ธนาคารจ่ายเงินโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์การใช้เงินตามเช็คขีดคร่อม

ข  แดงลงลายมือชื่อเขียนแล้วขีดคร่อมทั่วไป  สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพสาขาคลองจั่น  จ่ายเงินจำนวน  50,000  บาท  ระบุขาวเป็นผู้รับเงินโดยขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ออก  แล้วส่งมอบเช็คนั้นชำระราคาคอมพิวเตอร์ให้แก่ขาว  ก่อนถึงกำหนดใช้เงินตามเช็ค  ขาวทำเช็คนั้นตกหายไปโดยไม่รู้ตัว  ดำเก็บได้จึงปลอมลายมือชื่อขาวสลักหลังโอนเช็คนั้นให้แก่เหลืองซึ่งรับโอนเช็คนั้นไว้โดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอันเป็นมูลหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดจำนวน  1  ห้อง  ต่อมาเหลืองได้นำเช็คนั้นไปฝากให้ธนาคารทหารไทยสาขาหัวหมากที่ตนมีบัญชีเงินฝากเรียกเก็บเงินได้สำเร็จ  และได้ถอนเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้วทั้งหมด  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าขาวจะเรียกร้องให้ธนาคารกรุงเทพ  ธนาคารทหารไทย  แดง  และเหลือง  ให้รับผิดตามมูลหนี้ในเช็คดังกล่าวได้เพียงใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

หลักเกณฑ์การจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมสำหรับธนาคารผู้จ่าย  (Paying  Bank)

–          กรณีเช็คขีดคร่อมทั่วไป  ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินแก่ธนาคารใดธนาคารหนึ่งของผู้ทรงเช็ค  หากมีการนำเช็คนั้นให้ธนาคารอื่นเรียกเก็บ  (Collecting  Bank)  หรือจ่ายเงินเข้าบัญชีของผู้ทรงเช็ค  จะจ่ายเป็นเงินสดมิได้  (มาตรา  994  วรรคแรก)

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะ  ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินให้แก่ธนาคารที่ระบุชื่อไว้โดยเฉพาะจะจ่ายให้ธนาคารอื่นมิได้  และจะจ่ายเป็นเงินสดมิได้  (มาตรา  994  วรรคสอง)

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป  ธนาคารผู้จ่ายต้องปฏิเสธการจ่ายเงิน  เว้นแต่อีกธนาคารหนึ่งนั้นมีฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินแทน  ดังนี้  ธนาคารผู้จ่ายก็สามารถจ่ายให้แก่ธนาคารตัวแทนนั้นได้  แต่จะจ่ายให้แก่ธนาคารอื่นมิได้  (มาตรา  995 (4)  ประกอบมาตรา  997  วรรคแรก)

(2) ผลของการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์การใช้เงินตามเช็คขีดคร่อม

–          กรณีเช็คขีดคร่อมทั่วไป  ธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินสดให้แก่ผู้ทรงเช็คก็ดี  หรือจ่ายเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่ผู้ทรงเช็คมิได้มีบัญชีเงินฝากก็ดี

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะ  ธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินสดหรือจ่ายเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่มิได้ถูกระบุชื่อลงไว้โดยเฉพาะก็ดี

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป  ธนาคารผู้จ่ายไม่ปฏิเสธการจ่ายเงิน  หรือจ่ายเงินให้แก่ธนาคารอื่นที่มิใช่อยู่ในฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินก็ดี

ผล  ธนาคารผู้จ่ายต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คขีดคร่อมนั้น  (ผู้ทรงเดิม)  ในการที่น่าต้องเสียหาย  (มาตรา  997  วรรคสอง)  และไม่สามารถหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้สั่งจ่ายได้  เพราะถือว่าใช้เงินไปโดยไม่ถูกระเบียบ  แม้ถึงว่าจะใช้เงินไปตามทางการค้าโดยปกติ  โดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่อก็ตาม  (มาตรา  1009)

ข  อธิบาย

มาตรา  905  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  1008  บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย  แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม  ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก  ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น  เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง  ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น  หาจำต้องสละตั๋วเงินไม่  เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

มาตรา  998  ธนาคารใดซึ่งเขานำเช็คขีดคร่อมเบิกเงินใช้เงินไปตามเช็คนั้นโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ  กล่าวคือว่าถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ใช้เงินให้แก่ธนาคารอันใดอันหนึ่ง  ถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะก็ใช้ให้แก่ธนาคารซึ่งเขาเจาะจงขีดคร่อมให้เฉพาะ  หรือใช้ให้แก่ธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินของธนาคารนั้นไซร้ท่านว่าธนาคารซึ่งใช้เงินไปตามเช็คนั้นฝ่ายหนึ่ง  กับถ้าเช็คตกไปถึงมือผู้รับเงินแล้ว  ผู้สั่งจ่ายอีกฝ่ายหนึ่งต่างมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกัน  และเข้าอยู่ในฐานะอันเดียวกันเสมือนดั่งว่าเช็คนั้นได้ใช้เงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแล้ว

มาตรา  1000  ธนาคารใดได้รับเงินไว้เพื่อผู้เคยค้าของตนโดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่ออันเป็นเงินเขาใช้ให้ตามเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ดี  ขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ตนก็ดี  หากปรากฏว่าผู้เคยค้านั้นไม่มีสิทธิหรือมีสิทธิเพียงอย่างบกพร่องในเช็คนั้นไซร้  ท่านว่าเพียงแต่เหตุที่ได้รับเงินไว้หาทำให้ธนาคารนั้น  ต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้นแต่อย่างหนึ่งอย่างใดไม่

มาตรา  1008  วรรคแรก  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้  เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี  เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอำนาจให้ลงก็ดี  ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอำนาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้  ใครจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทำให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี  หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี  ท่านว่าไม่อาจจะทำได้เป็นอันขาด  เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วงหรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม  หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอำนาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

วินิจฉัย

การที่แดงเขียนสั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมนั้นพร้อมทั้งส่งมอบให้ขาวแล้วอีกทั้งไม่ปรากฏว่าธนาคารกรุงเทพ  ได้จ่ายเงินตามเช็คให้ธนาคารทหารไทยผู้เรียกเก็บเข้าบัญชีของเหลืองผู้ทรงไปโดยฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่  ย่อมถือว่าธนาคารกรุงเทพ  และธนาคารทหารไทยต่างได้กระทำการโดยมิได้ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์การจ่ายและรับเงินตามเช็คขีดคร่อม  ธนาคารกรุงเทพจึงหักบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของแดงได้อันเป็นผลให้แดงย่อมได้สิทธิเช่นเดียวกันกับธนาคารกรุงเทพผู้จ่าย  เสมือนว่าแดงได้ชำระเงินตามเช็คนั้นให้แก่ขาวแล้ว  ตามมาตรา  998  อีกทั้งธนาคารไทยผู้เรียกเก็บเงินตามเช็คเพื่อเหลืองลูกค้าของตนโดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่อ  แม้เหลืองจะไม่มีสิทธิหรือมีสิทธิบกพร่อง  ธนาคารทหารไทยก็ไม่ต้องรับผิดตามมูลหนี้ในเช็คนั้นต่อขาว  ตามมาตรา  1000

อนึ่ง  การที่เช็คดังกล่าวมีลายชื่อขาวเป็นลายมือชื่อปลอม  แม้ว่าเหลืองจะรับโอนเช็คนั้นไว้โดยสุจริต  และไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงก็ตาม  เหลืองย่อมอยู่ในฐานะที่ไม่อาจไปบังคับไล่เบี้ยจากขาวได้  อีกทั้งจะยึดหน่วงเช็คนั้นไว้ก็มิได้  ดังนี้  ขาวย่อมเรียกร้องให้เหลืองคืนเงินตามเช็คนั้นให้แก่ขาวได้  ตามมาตรา  905  วรรคแรก  และวรรคสอง  ประกอบมาตรา  1008  วรรคแรก

Advertisement