การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายกล้าเป็นข้าราชการบำนาญ มีรถเก๋งอยู่คันหนึ่งแต่ไม่ค่อยได้ใช้ จึงให้นายเก่งลูกชายขับไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และในวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ นายกล้าจึงได้ใช้ขับไปทำบุญที่วัด นายเก่งกลัวว่ารถที่ตนใช้อยู่เป็นประจำจะถูกขโมย จึงได้นำรถคันดังกล่าวไปทำสัญญาประกันวินาศภัยไว้กับบริษัทบางกอกประกันภัย จำกัด ในวงเงิน 3 แสนบาท สัญญากำหนด 1 ปี ระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์ หลังจากทำสัญญาได้ 4 เดือน นายกล้าก็ป่วยเป็นโรคหัวใจวายตาย นายเก่งจึงได้รับมรดกทั้งหมดรวมทั้งรถเก๋งคันที่เอาประกันนั้นด้วย 22 เดือนต่อมา นายเก่งได้ขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนเสาไฟฟ้าได้รับความเสียหายเป็นเงิน 2 แสนบาท นายเก่งจึงไปเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันวินาศภัย จงวินิจฉัยว่า บริษัทบางกอกประกันภัย จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้นายเก่งหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 863 อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด
มาตรา 877 ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง
(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย
(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ
อันจำนวนวินาศจริงนั้น ท่านให้ตีราคา ณ สถานที่และในเวลาซึ่งเหตุวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้น อนึ่ง จำนวนเงินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้นั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น
ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว สัญญาประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นสัญญาประกันวินาศภัยหรือสัญญาประกันชีวิต ถ้าผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย สัญญาประกันวินาศภัยหรือสัญญาประกันชีวิตนั้นย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญา ตามมาตรา 863 กล่าวคือ สิทธิและหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัยก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้
สำหรับส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยนี้ คงพิจารณาเฉพาะในขณะเมื่อทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น หากปรากฏว่าในขณะทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียแล้ว สัญญาประกันภัยย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญา
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า บริษัทบางกอกประกันภัย จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเก่งหรือไม่ เห็นว่า ในขณะที่ทำสัญญาประกันวินาศภัยนั้น นายเก่งยังไม่มีส่วนได้เสียในรถคันนั้นแต่อย่างใด เนื่องจากรถยังเป็นของนายกล้าผู้เป็นบิดาอยู่ แม้นายกล้าจะให้นายเก่งใช้สอยได้ก็หาทำให้นายเก่งมีส่วนได้เสียในรถนั้นไม่ เมื่อนายเก่งผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียในรถซึ่งเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย สัญญาประกันวินาศภัยนั้นย่อมไม่ผูกพันนายเก่ง ตามมาตรา 863
และถึงแม้ว่าต่อมานายกล้าตายลง จะทำให้นายเก่งได้เป็นเจ้าของรถคันนั้นโดยทางมรดก แต่หาทำให้สัญญาประกันภัยซึ่งไม่ผูกพันคู่สัญญามาตั้งแต่แรก กลับมามีผลผูกพันแต่อย่างใด เพราะเหตุแห่งส่วนได้เสียนั้นพิจารณาในขณะทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น เมื่อในขณะทำสัญญาประกันภัย นายเก่งไม่มีส่วนได้เสีย แม้ภายหลังต่อมานายเก่งจะมีส่วนได้เสีย สัญญาประกันภัยก็ไม่มีผลผูกพัน ตามมาตรา 863 ดังนั้นการที่วินาศภัยเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของผู้เอาประกัน บริษัทบางกอกประกันภัย จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 877
สรุป บริษัทบางกอกประกันภัย ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 877
ข้อ 2 นายแสงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ ราคา 1 ล้านบาท ได้นำรถนี้ไปทำประกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของตนเอง วงเงินเอาประกัน 8 แสนบาท ในระหว่างอายุสัญญา นายซิ่งทำละเมิดขับรถชนท้ายเป็นเหตุให้รถของนายแสงเสียหายเป็นจำนวน 2 แสนบาท ปรากฏว่าบริษัทประกันภัยจ้างนายเก่งเจ้าของอู่ดำเนินการซ่อมแซมรถจนกระทั่งส่งมอบรถคืนให้นายแสงเรียบร้อยแล้ว บริษัทประกันภัยจึงเรียกร้องให้นายซิ่งชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทประกัน แต่นายซิ่งปฏิเสธการจ่ายเงิน อยากทราบว่าบริษัทประกันภัยต้องฟ้องนายซิ่งภายในอายุความ 1 ปี ตามกฎหมายละเมิดมาตรา 448 หรือ 2 ปี ตามกฎหมายประกันภัยมาตรา 882 ให้ยกหลักกฎหมายประกอบการอธิบาย
ธงคำตอบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 880 วรรคแรก ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น
มาตรา 882 วรรคแรก ในการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลาสองปีนับแต่วันวินาศภัย
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า บริษัทประกันภัยจะต้องฟ้องนายซิ่งภายในอายุความ 1 ปี ตามกฎหมายละเมิด มาตรา 448 หรือ 2 ปี ตามกฎหมายประกันภัย มาตรา 882 ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่รถของนายแสงเกิดความเสียหายนั้น เกิดจากการกระทำละเมิดของบุคคลภายนอก คือ นายซิ่ง และบริษัทประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว โดยให้นายเก่งเจ้าของอู่ทำการซ่อมแซมทำให้บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายซิ่งโดยการรับช่วงสิทธิ ซึ่งการรับช่วงสิทธิกรณีนี้เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 880 วรรคแรกจะเห็นว่า การรับช่วงสิทธิของผู้รับประกันภัยย่อมมีสิทธิเท่าที่ผู้เอาประกันภัยมีต่อบุคคลภายนอก ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิเพียงใด ผู้รับประกันภัยก็รับช่วงสิทธิเพียงนั้น จะใช้สิทธิเกินไปกว่าสิทธิของผู้เอาประกันภัยหาได้ไม่ ดังนั้นถ้าผู้เอาประกันภัยมีสิทธิฟ้องร้องบุคคลภายนอกในอายุความอย่างใด ผู้รับประกันภัยก็ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องบุคคลภายนอกภายในอายุความอย่างเดียวกัน ซึ่งในกรณีนี้ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิฟ้องผู้ทำละเมิดภายในอายุความ 1 ปี นับแต่วันรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่ไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันทำละเมิด ตามมาตรา 448 วรรคแรก บริษัทประกันภัยจึงมีสิทธิฟ้องนายซิ่งภายในอายุความ 1 ปีด้วย ส่วนอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 882 เป็นอายุความสำหรับการเรียกค่าสินไหมทดแทนโดยอาศัยสัญญาประกันภัย ซึ่งหมายถึงการเรียกร้องระหว่างคู่สัญญาคือ ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัยเท่านั้น จึงไม่อาจนำมาใช้กับการรับช่วงสิทธิที่ผู้รับประกันภัยจะเรียกร้องจากบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่สัญญาได้ (ฎ.5813/2539 และ ฎ. 2425/2538)
สรุป บริษัทประกันภัยต้องฟ้องนายซิ่งภายในอายุความ 1 ปี ตามกฎหมายละเมิด มาตรา 448
ข้อ 3 นายทรหดได้ทำสัญญาเอาประกันชีวิตของตนในเหตุมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง เป็นจำนวน 1 ล้านบาท โดยนายทรหดได้ปกปิดเรื่องที่ตนป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวอยู่ บริษัทประกันชีวิตไม่ทราบความจริงเรื่องนี้เลย จึงได้ทำสัญญารับประกันไว้ ต่อมานายทรหดได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคหวัดนก ภายหลังได้ทำสัญญาประกันชีวิตมาแล้ว 6 ปี บริษัทประกันชีวิตจึงทราบความจริงที่นายทรหดป่วยเป็นโรคมะเร็งก่อนทำสัญญาประกันชีวิต จึงบอกล้างสัญญาประกันชีวิตรายนี้ จงวินิจฉัยว่า บริษัทประกันชีวิตมีสิทธิบอกล้างสัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 865 ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ
ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทรหดปกปิดเรื่องที่ตนป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวนั้น เป็นการปกปิดความจริงในขณะทำสัญญาประกันชีวิต ตามมาตรา 865 วรรคแรก ข้อที่นายทรหดปกปิดนี้เห็นได้แน่ชัดว่าเป็นข้อสำคัญซึ่งถ้านายทรหดไม่ปกปิดและแถลงความจริงให้กับบริษัทประกันชีวิตทราบแล้ว บริษัทประกันชีวิตจะต้องบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิตอย่างแน่นอน เพราะโรคดังกล่าวเป็นโรคร้ายแรงอันเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆียะตั้งแต่ขณะทำสัญญา ตามมาตรา 865 วรรคแรก แม้จะปรากฏภายหลังว่า นายทรหดได้ถึงแก่ความตายด้วยโรคหวัดนกซึ่งมิใช่โรคที่นายทรหดได้ปกปิดก็ตาม ก็ไม่ทำให้สัญญาที่ตกเป็นโมฆียะตั้งแต่แรกนั้นเปลี่ยนแปลงมาสมบูรณ์แต่อย่างใด บริษัทประกันชีวิตจึงมีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิตนี้ได้
อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติมาตรา 865 วรรคสอง ได้กำหนดว่า ผู้รับประกันชีวิตจะต้องบอกล้างสัญญาประกันชีวิตที่เป็นโมฆียะนั้นภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ หรือภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันทำสัญญา มิฉะนั้นสิทธิบอกล้างย่อมเป็นอันระงับสิ้นไป กรณีนี้การทำสัญญาประกันชีวิตได้ล่วงเลยมาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว เกิดกำหนดเวลาที่จะบอกล้างได้ ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตจึงหมดสิทธิในการบอกล้างสัญญาประกันชีวิตรายนี้ ตามมาตรา 865 วรรคสอง
สรุป บริษัทประกันชีวิตไม่มีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิต