ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายเก่งทำสัญญาเป็นหนังสือเช่าโรงสีซึ่งนายรวยเป็นเจ้าของ กำหนดเวลา 3 ปี หลังจากทำสัญญาเช่าไปได้ 1 เดือน นายรวยเอาประกันอัคคีภัย
โรงสีนี้ไว้กับบริษัท สยามประกันอัคคีภัย จำกัด โดยระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์ แต่นายรวยไม่ได้แถลงไว้ในคำขอเอาประกันภัย ให้ผู้รับประกันทราบในเรื่องการเช่าดังกล่าว ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย โรงสีที่เอาประกันภัยถูกไฟไหม้หมด อยากทราบว่า สัญญาประกันภัยนี้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด ยกหลักกฎหมายประกอบการอธิบาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 865 วรรคแรก ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาประกันภัยรายนี้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามกฎหมายในเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงที่มีลักษณะสำคัญซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาให้ผู้รับประกันภัยทราบ มิฉะนั้นแล้วสัญญานั้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 865 วรรคแรก
ตามข้อเท็จจริง การที่นายรวยให้นายเก่งเช่าโรงสีถือเป็นข้อความจริงที่นายรวยผู้เอาประกันภัยต้องเปิดเผยให้บริษัท สยามประกันอัคคีภัยฯทราบ เพราะเป็นข้อความจริงที่มีความสำคัญถึงขนาดเป็นเหตุจูงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นอีกหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาก็ได้ เนื่องจากการที่มีผู้เช่าโรงสี ผู้เช่านั้นย่อมมีความระมัดระวังในความปลอดภัยของโรงสีน้อยกว่านายรวยผู้เป็นเจ้าของ ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดไฟไหม้โรงสีย่อมมีมากขึ้นนั่นเอง
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในเวลาทำสัญญาประกันภัย นายรวยไม่ได้แถลงไว้ในคำขอเอาประกันภัยให้ผู้รับประกันภัยทราบในเรื่องการเช่าดังกล่าว สัญญาประกันภัยระหว่างนายรวยและบริษัท สยามประกันอัคคีภัยฯจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 865 วรรคแรก
สรุป สัญญาประกันภัยระหว่างนายรวยและบริษัท สยามประกันอัคคีภัยฯ มีผลเป็นโมฆียะ
ข้อ 2 นางละอองฟ้าเจ้าของโรงงานมูลค่า 50 ล้านบาท ได้เอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทเอ จำนวนเงินเอาประกัน 20 ล้านบาท กรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือ 1 มกราคม 2551 เวลา 10.00 น. และนางละอองฟ้าได้เอาประกันอัคคีภัยโรงงานนี้ไว้กับบริษัทบี จำนวนเงินเอาประกัน 30 ล้านบาท กรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือ 1 มกราคม 2551 เวลา 15.00 น และนางละอองฟ้าได้เอาประกันอัคคีภัยโรงงานดังกล่าวไว้กับบริษัทซี จำนวนเงินเอาประกัน 50 ล้านบาท กรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือ 1 มกราคม 2550 เวลา 16.00 น. ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาของทั้งสามบริษัท
ปรากฏว่าเกิดเพลิงไหม้โรงงานใกล้เคียงแล้วลุกลามมาไหม้โรงงานของนางละอองฟ้าเสียหายทั้งหมด อยากทราบว่า นางละอองฟ้าผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทใดบ้าง และเป็นจำนวนเท่าใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 870 ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นพร้อมกันเพื่อความวินาศภัยอันเดียวกัน และจำนวนเงินซึ่งเอาประกันรวมกันทั้งหมดนั้นท่วมจำนวนที่วินาศจริงไซร้ ท่านว่าผู้รับประโยชน์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียงเสมอจำนวนวินาศจริงเท่านั้น ผู้รับประกันภัยแต่ละคนต้องใช้เงินจำนวนวินาศจริงแบ่งตามส่วนมากน้อยที่ตนได้รับประกันภัยไว้
อันสัญญาประกันภัยทั้งหลาย ถ้าลงวันเดียวกัน ท่านให้ถือว่าได้ทำพร้อมกัน
ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน ท่านว่าผู้รับประกันภัยรายแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัยไซร้ ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆกันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางละอองฟ้านำโรงงานมูลค่า 50 ล้านบาท ไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทเอ และนำไปประกันไว้กับบริษัทบีอีก โดยกรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือวันที่ 1 มกราคม 2551 เหมือนกันทั้งสองบริษัทนั้น ถือว่านางละอองฟ้าได้ทำสัญญาประกันภัยไว้กับบริษัทเอและบริษัทบีพร้อมกัน แม้จะทำต่างเวลากันก็ตาม ตามมาตรา 870 วรรคสอง และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่นางละอองฟ้าจะนำโรงงานไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยกับบริษัทเอและบริษัทบี นางละอองฟ้าได้นำโรงงานนั้นไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยกับบริษัทซีไว้ก่อนแล้ว โดยกรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือวันที่ 1 มกราคม 2550 ดังนั้น จึงเป็นเรื่องการประกันวินาศภัยหลายรายในวัตถุเดียวกันและเป็นวัตถุสืบเนื่องเป็นลำดับกันจึงต้องนำหลักเกณฑ์ตามมาตรา 870 วรรคสามมาใช้ก่อน กล่าวคือ ต้องจัดให้ผู้รับประกันภัยลำดับแรกใช้ค่าสินไหมทดแทนก่อน เหลือเท่าใดจึงคิดคำนวณในเรื่องการประกันพร้อมกันตามมาตรา 870 วรรคแรกอีกชั้นหนึ่ง
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ได้เกิดวินาศภัยคืออัคคีภัยขึ้นทำให้โรงงานของนางละอองฟ้าเสียหายทั้งหมด ดังนั้น บริษัทซีซึ่งเป็นผู้รับประกันลำดับแรกจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนก่อน เมื่อค่าเสียหายที่แท้จริงเป็นเงิน 50 ล้านบาท และบริษัทซีรับประกันไว้ 50 ล้านบาท ไม่เกินความเสียหาย จึงต้องรับผิดเต็มจำนวนที่รับประกันไว้คือ 50 ล้านบาท ตามมาตรา 870 วรรคสาม
สรุป นางละอองฟ้าผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทซีได้จำนวน 50 ล้านบาท ส่วนบริษัทเอและบริษัทบี เมื่อบริษัทซีใช้ค่าสินไหมทดแทนคุ้มจำนวนวินาศภัยแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ข้อ 3 สัมฤทธิ์ทำประกันชีวิตกับบริษัท สมัครใจประกันชีวิต จำกัด จำนวนเงินเอาประกัน 1,000,000 บาท ชำระเบี้ยประกันชีวิตปีละ 12,000 บาท สัญญาประกันชีวิตเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2553 ต่อมาสัมฤทธิ์มีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจที่ทำอยู่ กิจการขาดทุนและกำลังถูกเจ้าหนี้ฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย วันที่ 6 กรกฎาคม 2554 สัมฤทธิ์จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดตึกลงมาจากชั้น 3 ผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ได้นำสัมฤทธิ์ส่งโรงพยาบาล สมฤทธิ์ยังไม่ตายแต่อาการสาหัส สมองกระทบกระเทือนจากแรงกระแทกอย่างแรง และได้รับการรักษาตัวอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู. ของโรงพยาบาลจนกระทั่งวันที่ 2 สิงหาคม 2554 สัมฤทธิ์สิ้นใจอย่างสงบ ประพลเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต จึงเรียกร้องไปยังบริษัท สมัครใจประกันชีวิต จำกัด เพื่อขอรับเงิน 1,000,000 บาทตามทุนประกัน บริษัทฯปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่าสัมฤทธิ์ฆ่าตัวตายภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญา ประพลต่อสู้ว่าสัมฤทธิ์ไม่มีเจตนาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันชีวิตและสัมฤทธิ์ตายภายหลัง 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา บริษัทฯจึงต้องจ่ายเงินตามทุนประกันให้แก่ผู้รับประโยชน์ ดังนี้ ข้อต่อสู้ของประพลฟังขึ้นหรือไม่ บริษัทต้องจ่ายเงินหรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 895 เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่
(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา หรือ
(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา
ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น
วินิจฉัย
ตามกฎหมาย เมื่อผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ถึงแก่ความตาย บริษัทผู้รับประกันชีวิตจะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้นๆ เว้นแต่บุคคลนั้นจะฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญาไม่ว่าจะถึงแก่ความตายในทันทีหรือไม่ก็ตามหรือเป็นกรณีที่บุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา (มาตรา 895)
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สัมฤทธิ์ฆ่าตัวตาย แม้จะไม่มีเจตนาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันชีวิต แต่การที่สัมฤทธิ์สมัครใจฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาคือภายในวันที่ 16 กรกฎาคม 2554 นั้น ถือเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา แม้จะถึงแก่ความตายภายหลัง 1 ปีแล้วก็ตาม ดังนั้นข้อต่อสู้ของประพลที่ว่าสัมฤทธิ์ไม่มีเจตนาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันชีวิต และสัมฤทธิ์ตายภายหลัง 1 ปีนับแต่วันทำสัญญานั้นจึงฟังไม่ขึ้น บริษัทสมัครใจประกันชีวิตฯ จึงไม่ต้องจ่ายเงินตามทุนประกันให้แก่ประพลผู้รับประโยชน์ตามมาตรา 895(1)
สรุป ข้อต่อสู้ของประพลฟังไม่ขึ้น และบริษัทสมัครใจประกันชีวิตฯ ไม่ต้องจ่ายเงินตามทุนประกัน