การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายเปรียวได้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง โดยคุ้มครองบุคคลที่สาม คือ คุ้มครองภัยที่ตนอาจขับรถที่จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเป็นเงิน 100,000 บาท ในระหว่างอายุสัญญานายเปรียวได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยประมาทชนรถของนายเฉื่อยเสียหาย 80,000 บาท ปรากฏว่าบริษัทประกันภัยไม่ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายเฉื่อย แต่นำค่าสินไหมทดแทนมาจ่ายให้นายเปรียว 80,000 บาท นายเปรียวไม่ได้เอามาจ่ายให้นายเฉื่อย เมื่อนายเฉื่อยยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนจึงฟ้องบริษัทประกันภัย แต่บริษัทประกันภัยต่อสู้ว่าตนได้ใช้ให้นายเปรียวไปแล้วจึงไม่ต้องรับผิดอีก ดังนี้ ข้อต่อสู้ของบริษัทประกันภัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 887 วรรคสาม อนึ่งผู้รับประกันภัยนั้นแม้จะได้ส่งค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วก็ยังหาหลุดพ้นจากความรับผิดต่อบุคคลผู้ต้องเสียหายนั้นไม่ เว้นแต่ตนจะพิสูจน์ได้ว่าสินไหมทดแทนนั้นผู้เอาประกันภัยได้ใช้ให้แก่ผู้ต้องเสียหายแล้ว
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาประกันภัยที่นายเปรียวทำกับบริษัทประกันภัยนั้นเป็นสัญญาประกันภัยค้ำจุน กล่าวคือ เป็นสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย เพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง (บุคคลที่สาม) และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ การที่บริษัทประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเปรียวผู้เอาประกัน แต่นายเปรียวไม่ได้นำมาจ่ายให้นายเฉื่อยบุคคลภายนอก จึงทำให้นายเฉื่อยยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทน ผลทางกฎหมายตามมาตรา 887 วรรคสาม คือ บริษัทประกันภัยยังคงมีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเฉื่อย และไม่ปรากฏว่าบริษัทประกันภัยได้พิสูจน์ว่าค่าสินไหมทดแทนนั้นนายเปรียวผู้เอาประกันภัยได้ใช้ให้แก่นายเฉื่อยผู้เสียหายแล้ว
สรุป ข้อต่อสู้ของบริษัทประกันภัยที่อ้างว่าตนได้ใช้ให้นายเปรียวไปแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดอีกเป็นข้อต่อสู้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 2 กนกได้ทำสัญญาประกันวินาศภัยรถยนต์บรรทุกของตนไว้กับบริษัทประกันภัยจำกัด จำนวนเงินที่เอาประกัน 3 แสนบาท และในขณะเดียวกัน เขาก็เอาประกันภัยในความรับผิดชอบเกี่ยวกับการใช้รถคันนี้ (ประกันภัยค้ำจุน) อีกกรมธรรม์หนึ่งไว้กับบริษัทเดียวกัน จำนวนเงินที่เอาประกัน 4 แสนบาท กำหนดระยะเวลาในการทำสัญญา 1 ปี หลังจากทำสัญญาได้สามเดือน กนกได้สั่งให้ดนัยซึ่งเป็นคนขับรถและเป็นลูกจ้างของตนขับรถคันดังกล่าวบรรทุกสินค้าไปส่งให้ลูกค้าที่จังหวัดอุทัยธานี หลังจากส่งของเสร็จแล้วดนัยได้ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แซงรถคันอื่นมาตลอดทาง จึงเกิดอุบัติเหตุชนกับรถของอมรซึ่งวิ่งสวนทางมา ทำให้ดนัยและอมรบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ เสียค่ารักษาพยาบาลไปคนละ 5 หมื่นบาท ส่วนรถบรรทุกของกนกพังเสียหายคิดเป็นเงิน 2 แสนบาท และรถของอมรก็เสียหายเช่นกันคิดเป็นเงิน 1 แสนบาท จงวินิจฉัยว่า บริษัทประกันภัยจำกัดจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับใคร อย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 862 วรรคท้าย อนึ่ง ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้
มาตรา 863 อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด
มาตรา 877 ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง
(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย
(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ
ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้
มาตรา 879 วรรคแรก ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์
มาตรา 880 วรรคแรก ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น
มาตรา 887 วรรคแรก อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ
บุคคลผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามที่ตนควรจะได้นั้นจากผู้รับประกันภัยโดยตรง แต่ค่าสินไหมทดแทนเช่นว่านี้หาอาจจะคิดเกินไปกว่าจำนวนอันผู้รับประกันภัยจะพึงต้องใช้ตามสัญญานั้นได้ไม่ ในคดีระหว่างผู้ต้องเสียหายกับผู้รับประกันภัยนั้น ท่านให้ผู้ต้องเสียหายเรียกตัวผู้เอาประกันภัยเข้ามาในคดีด้วย
อนึ่งผู้รับประกันภัยนั้นแม้จะได้ส่งค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วก็ยังหาหลุดพ้นจากความรับผิดต่อบุคคลผู้ต้องเสียหายนั้นไม่ เว้นแต่ตนจะพิสูจน์ได้ว่าสินไหมทดแทนนั้นผู้เอาประกันภัยได้ใช้ให้แก่ผู้ต้องเสียหายแล้ว
วินิจฉัย
กนกได้ทำสัญญาประกันวินาศภัยรถยนต์บรรทุกของตนเอง กนกย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพัน และในขณะเดียวกันเมื่อเขาไม่ได้ระบุผู้รับประโยชน์ไว้ กนกจึงเป็นผู้รับประโยชน์เองตามมาตรา 862 วรรคท้าย ซึ่งบริษัทจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาดังต่อไปนี้
1 จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กนกตามสัญญาประกันวินาศภัย กรณีที่รถบรรทุกของกนกเสียหายคิดเป็นเงิน 2 แสนบาท ตามมาตรา 877 (1) และวรรคท้าย
2 จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับอมรตามสัญญาประกันภัยค้ำจุน กรณีรถของอมรเสียหายคิดเป็นเงิน 1 แสนบาท และค่ารักษาพยาบาลที่บาดเจ็บสาหัสเป็นเงิน 5 หมื่นบาท ตามมาตรา 887 ประกอบมาตรา 877
3 จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับดนัยที่บาดเจ็บสาหัสเป็นเงิน 5 หมื่นบาท ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุน ตามมาตรา 887 ประกอบมาตรา 877
ทั้งนี้เพราะวินาศภัยที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของกนก ซึ่งเป็นทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์ แต่เป็นการกระทำของดนัยซึ่งเป็นลูกจ้างของกนก จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามกฎหมายที่บริษัทไม่ต้องจ่าย ตามมาตรา 862 วรรคท้าย และมาตรา 879 วรรคแรก
เมื่อบริษัทได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยและผู้ต้องเสียหายไปแล้ว บริษัทก็สามารถที่จะเข้าไปรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันรียกจากดนัย ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ก่อให้เกิดความเสียหายได้ ตามมาตรา 880 วรรคแรก ประกอบมาตรา 877
สรุป บริษัทต้องรับผิดชอบดังนี้
1 จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กนก 2 แสนบาท
2 จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้อมร ในกรณีรถเสียหาย 1 แสนบาท และค่ารักษาพยาบาล 5 หมื่นบาท
3 จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ดนัย 5 หมื่นบาท
ข้อ 3 หนึ่งมีอาการเจ็บหน้าอกที่ชายโครงด้านขวาเป็นประจำ จึงชวนสองภริยาให้พาไปตรวจร่างกายกับแพทย์ที่โรงพยาบาลซึ่งเคยรักษา แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่าเกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบ และได้ให้ยามารับประทาน ซึ่งอาการที่เจ็บก็หายเป็นพักๆ ต่อมาอีกสามเดือน สามซึ่งเป็นเพื่อนบ้านและเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตได้มาชักชวนให้ทำสัญญาประกันชีวิต เขาจึงได้ตกลงทำจำนวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท สัญญามีกำหนด 5 ปี ระบุให้สองภริยาเป็นผู้รับประโยชน์ ซึ่งขณะทำสัญญาเขาได้กรอกแบบคำขอเอาประกันชีวิตว่าสุขภาพสมบูรณ์ดี
และเมื่อแพทย์ของประกันชีวิตตรวจร่างกาย และได้สอบถามถึงสุขภาพ หนึ่งก็ตอบว่าไม่เคยป่วยเป็นโรคใด บริษัทประกับชีวิตจึงได้รับประกันชีวิตของหนึ่งไว้ ต่อมาอีก 2 ปี หนึ่งก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในตับ ซึ่งแพทย์ตรวจพบว่าเป็นมาก่อนทำสัญญาประกันชีวิต จงวินิจฉัยว่า สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวเป็นโมฆียะหรือไม่ และบริษัทจะบอกล้างได้หรือไม่ หรือบริษัทจะต้องชดใช้เงินตามสัญญาดังกล่าวอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 863 อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด
มาตรา 865 ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ
ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป
มาตรา 890 จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว หรือเป็นเงินรายปีก็ได้ สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา
วินิจฉัย
หนึ่งทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง ย่อมมีเหตุแห่งส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันตามาตรา 863 สัญญามีผลผูกพัน การที่สองได้พาหนึ่งไปตรวจร่างกายและเข้ารับการรักษาพยาบาลในอาการเจ็บที่ชายโครงด้านขวา ซึ่งแพทย์ได้ตรวจแล้วและวินิจฉัยว่าอาจเป็นกล้ามเนื้ออักเสบนั้น หนึ่งไม่ทราบว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็ง ฉะนั้นการที่เขากรอกแบบคำขอเอาประกันชีวิตไปว่ามีสุขภาพสมบูรณ์ จึงไม่ใช่การไม่เปิดเผยข้อความจริงและเมื่อแพทย์ของบริษัทฯ สอบถามถึงสุขภาพ เขาก็ตอบว่าไม่เคยป่วยเป็นโรคใดๆ ก็ไม่ใช่การปกปิดข้อความจริงตามมาตรา 865 เพราะอาการกล้ามเนื้ออักเสบไม่ใช่อาการของโรคที่ต้องเปิดเผยในขณะทำสัญญาประกันชีวิต เมื่อแพทย์ผู้ตรวจรักษาและแพทย์ของบริษัทประกันชีวิตผู้ตรวจสุขภาพ ไม่ทราบว่าหนึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งในตับ และหนึ่งเองก็ไม่ทราบว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็งมาก่อน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าหนึ่งไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ได้รู้มาก่อน อันจะเป็นเหตุให้บริษัทบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาหรือเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นแต่อย่างใด ตามมาตรา 865 สัญญาประกันชีวิตของหนึ่งจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่เป็นโมฆียะที่บริษัทจะมีสิทธิบอกล้างได้ บริษัทจำต้องจ่ายเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญา ตามมาตรา 889 ประกอบมาตรา 890 (ฎีกาที่ 3728/2530)
สรุป สัญญาประกันชีวิตไม่เป็นโมฆียะ และบริษัทต้องจ่ายเงินจำนวน 1 ล้านบาท ตามสัญญาประกันชีวิต