การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายเอกได้ตกลงซื้อรถยนต์จากนายโทในราคา 1 ล้านบาท โดยนายเอกได้ชำระมัดจำไว้เป็นจำนวนเงิน 2 แสนบาท ในวันที่ทำสัญญาซื้อขายคือวันที่ 10 มกราคม 2551 ส่วนที่เหลือจะชำระให้หมดในวันที่นายโทนัดส่งมอบ พร้อมกับไปโอนทะเบียนรถยนต์คือในวันที่ 25 มกราคม 2551 ในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการส่งมอบรถและโอนทะเบียนกันนั้น ปรากฏว่าสัญญาประกันภัยรถยนต์ที่นายโททำไว้ได้หมดอายุลง นายเอกจึงได้ไปทำสัญญาประกันภัยฉบับใหม่กับบริษัทประกันภัยจำกัด ในวันที่ 22 มกราคม 2551 จำนวนเงินที่เอาประกัน 8 แสนบาท ระยะเวลาตามกรมธรรม์ 1 ปี โดยระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์ต่อมาวันที่ 30 มกราคม 2551 รถยนต์ที่ได้เอาประกันภัยไว้ประสบอุบัติเหตุรุนแรงเสียหายคิดเป็นเงิน 5 แสนบาท นายเอกจึงไปเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทผู้รับประกันภัย บริษัทฯปฏิเสธการจ่าย โดยอ้างว่านายเอกไม่มีส่วนได้เสียในขณะทำสัญญาประกันภัย เพราะยังไม่ได้ส่งมอบรถและโอนทะเบียนรถยนต์กันกับนายโท ดังนี้จงวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของบริษัทฯ รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 862 ตามข้อความในลักษณะนี้
คำว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้
คำว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย
คำว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจำนวนเงินใช้ให้
อนึ่ง ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้
มาตรา 863 อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด
มาตรา 877 ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง
(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย
(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ
วรรคท้าย ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้
วินิจฉัย
การที่นายเอกได้ตกลงซื้อรถยนต์จากนายโทในวันที่ 10 มกราคม 2551 นั้น ถือว่า เป็นสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์เสร็จเด็ดขาด จึงมีผลให้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าวโอนไปเป็นของนายเอกผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขาย ตามมาตรา 458 ทั้งนี้แม้จะไม่มีการโอนจดทะเบียนก็ตาม เพราะการโอนทะเบียนรถยนต์ตามกฎหมายเกี่ยวกับทะเบียนรถยนต์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่จะควบคุมยานพาหนะและภาษีรถยนต์เท่านั้น ไม่กระทบถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่ได้โอนไปแล้วแต่อย่างใด (ฏ. 60/2524) ดังนั้นนายเอกจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะเป็นเจ้าของรถยนต์ทันที ต่อมาในวันที่ 22 มกราคม 2551 นายเอกได้นำรถยนต์ไปทำสัญญาประกันภัย จึงถือได้ว่าในขณะทำสัญญาประกันภัย นายเอกเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยสัญญาจึงมีผลผูกพันผู้รับประกันตามกฎหมาย ตามมาตรา 863 เมื่อนายเอกผู้เอาประกันภัยมิได้กำหนดตัวผู้รับประโยชน์ไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่านายเอกเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาดังกล่าวด้วย ตามมาตรา 862 ดังนั้นบริษัทฯ จึงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้นายเอกตามที่ได้เสียหายจริง คือ 5 แสนบาท ซึ่งไม่เกินจำนวนเงินที่เอาประกันฯ ตามมาตรา 877 (1) และวรรคท้าย ข้ออ้างของบริษัทผู้รับประกันภัยฟังไม่ขึ้นแต่อย่างใด
สรุป ข้ออ้างของบริษัทฯรับฟังไม่ได้
ข้อ 2 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2535 นายดำทำสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านของตนราคา 4 ล้านบาท ไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง วงเงินเอาประกัน 3 ล้านบาท กำหนดเบี้ยประกันภัย 5 หมื่นบาทโดยคู่สัญญากำหนดเวลาเริ่มต้นแห่งสัญญาประกันภัยไว้ในวันที่ 3 มกราคม 2536 ครั้นวันที่ 28 ธันวาคม 2535 นายดำเปลี่ยนใจไม่ต้องการทำสัญญาประกันภัย ดังนี้ นายดำมีสิทธิบอกเลิกสัญญาประกันภัยได้หรือไม่ และบริษัทประกันภัยมีสิทธิอย่างไร เพราเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 872 ก่อนเริ่มเสี่ยงภัย ผู้เอาประกันภัยจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ แต่ผู้รับประกันภัยชอบที่จะได้เบี้ยประกันภัยกึ่งจำนวน
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาประกันวินาศภัยรายนี้ทำไว้ในวันที่ 9 ธันวาคม 2535 แต่สัญญามีผลบังคับวันที่ 3 มกราคม 2536 ดังนั้นก่อนเริ่มเสี่ยงภัยคือก่อนวันที่สัญญามีผลบังคับ คือวันที่ 28 ธันวาคม 2535 นายดำผู้เอาประกันภัยจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา 872 แต่นายดำต้องเสียเบี้ยประกันภัยครึ่งหนึ่งคือ 25,000 บาท ให้แก่บริษัทประกันวินาศภัย
สรุป นายดำมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ และบริษัทประกันภัยมีสิทธิได้เบี้ยประกันครึ่งหนึ่ง
ข้อ 3 นายขวดนำนางแก้วภริยาไปทำสัญญาเอาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะกับบริษัทประกันชีวิตในวงเงิน 500,000 บาท ตามระเบียบบริษัทฯ การทำประกันในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ หลังจากทำสัญญาประกันแล้ว 1 ปี นางแก้วป่วยเป็นโรคหัวใจรั่วต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง ต่อมาอีก 1 ปี นางแก้วถึงแก่กรรม นายขวดผู้รับประโยชน์จึงยื่นคำขอรับเงิน 500,000 บาท บริษัทประกันชีวิตปฏิเสธการจ่ายเงินโดยใช้สิทธิตามมาตรา 865 อ้างว่านางแก้วป่วยเป็นโรคร้ายแรง ไม่แจ้งให้บริษัทฯทราบ จึงบอกล้างสัญญาประกัน ดังนี้ ข้ออ้างของบริษัทประกันชีวิตรับฟังได้หรือไม่ นายขวดมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตรายนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 865 ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ
ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป
วินิจฉัย
จากหลักกฎหมายในมาตรา 865 กำหนดให้ผู้เอาประกันเปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันให้เรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันนั้น ต้องกระทำในเวลาทำสัญญาประกันภัย กล่าวคือ ต้องเปิดเผยความจริงก่อนวันทำสัญญาหรืออย่างช้าที่สุดก็วันทำสัญญาประกันซึ่งหากผู้เอาประกันภัยไม่ปฏิบัติตามนี้แล้ว สัญญาประกันภัยย่อมตกเป็นโมฆียะ บริษัทประกันภัยสามารถบอกล้างสัญญาได้
กรณีตามปัญหา ก่อนมีการทำสัญญาประกันชีวิตรายนี้ ไม่ปรากฏว่านางแก้วได้ปกปิดความจริงในเรื่องสุขภาพของตนแต่ประการใด อาการป่วยของนางแก้วได้เกิดขึ้นภายหลังการทำสัญญาประกันชีวิตแล้ว สัญญาประกันชีวิตรายนี้จึงสมบูรณทุกประการ นางแก้วไม่จำต้องแจ้งเหตุการณ์เจ็บป่วยที่เกิดขึ้นภายหลังทำสัญญาประกันชีวิตให้บริษัทประกันชีวิตทราบ บริษัทฯ ไม่มีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิตรายนี้ ข้ออ้างของบริษัทฯ จึงรับฟังไม่ได้ นายขวดผู้รับประโยชน์จึงมีสิทธิได้รับเงิน 500,000 บาท ตามสัญญาประกันชีวิตรายนี้
สรุป ข้ออ้างของบริษัทฯ รับฟังไม่ได้ และนายขวดมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิต