การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 แดงได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะไว้กับบริษัท ประกันชีวิต จำกัด จำนวนเงินที่เอาประกัน 7000,000 บาท สัญญากำหนด 10 ปี โดยระบุให้ขาวภริยาเป็นผู้รับประโยชน์กิอนทำสัญญาแดงมีอาการท้องอืดบ่อยๆ บางครั้งก็ถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดปนด้วย แดงได้ชวนขาวภริยาไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการ แพทย์ได้แจ้งผลให้ขาวทราบว่าแดงป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ขาวเกรงว่าจะมีผลต่อสภาพจิตใจของสามีจึงเพียงแต่บอกเขาว่าท้องอืดธรรมดาไม่มีอะไรร้ายแรง กินยาที่หมอให้มาก็คงหายเป็นปกติ ในขณะเดียวกันขาวซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตก็ไม่ได้แจ้งให้บริษัททราบด้วย
ทั้งๆที่ในขณะที่แดงกรอกข้อความลงในแบบฟอร์มคำขอเอาประกันชีวิต ขาวก็นั่งอยู่ด้วย เพราะเกรงว่าถ้าเปิดเผยออกไปแล้วบริษัทจะไม่รับทำสัญญา หลังจากทำสัญญาได้ 3 ปี ในขณะที่แดงเดินทางไปโรงพยาบาลก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ขาวจึงไปขอรับเงินตามสัญญาในฐานะผู้รับประโยชน์ จงวินิจฉัยว่าสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวเป็นโมฆียะหรือไม่ บริษัทจะอ้างเหตุผลใดในการบอกล้างสัญญาได้อย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 863 อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด
มาตรา 865 ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ
ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป
มาตรา 889 ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง
มาตรา 890 จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว หรือเป็นเงินรายปีก็ได้ สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา
วินิจฉัย
แดงทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะ ถือว่าแดงมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกัน สัญญามีผลผูกพันตามมาตรา 889 ประกอบมาตรา 863
แดงไม่ทราบว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็งในเวลาทำสัญญา แดงจึงไม่ได้แถลงข้อความเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งจะมีผลทำให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาแต่อย่างใด สัญญาจึงไม่เป็นโมฆียะตามมาตรา 865 วรรคแรก ส่วนขาวนั้นเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อความจริงแต่อย่างใด เพราะตามกฎหมายมาตรา 865 กำหนดว่า ผู้ที่แถลงข้อความจริงในเวลาทำสัญญานั้นคือบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความมรณะคือแดงนั่นเอง ดังนั้นสัญญาประกันชีวิตของแดงมีผลสมบูรณ์ไม่เป็นโมฆียะ บริษัทจึงไม่มีเหตุผลใดมาบอกล้างได้ ต้องจ่ายเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญาให้กับขาวผู้รับประโยชน์ตามมาตรา 890
สรุป สัญญาประกันชีวิตไม่เป็นโมฆียะและบริษัทต้องจ่ายเงินจำนวน 7 แสนบาทแก่ขาวตามสัญญาประกันชีวิต
ข้อ 2 นายสมหวังได้ทำสัญญาประกันวินาศภัยในเหตุอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทประกันภัย 1,000,000 บาท นายสมควรบุคคลภายนอกได้ทำให้เกิดไฟไหม้บ้านของนายสมหวังเสียหาย 1,000,000 บาท บริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ 600,000 บาท นายสมหวังจึงได้เงินไม่ครบตามความเสียหาย นายสมหวังจึงฟ้องนายสมควรให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่เหลืออีก 400,000 บาท ขณะเดียวกันบริษัทประกันภัยก็รับช่วงสิทธิของนายสมหวังผู้เอาประกันภัยมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน 600,000 บาท ที่ได้จ่ายไปแล้วจากนายสมควรอีก ปรากฏว่านายสมควรมีทรัพย์สินทั้งหมดอยู่เพียง 500,000 บาท ดังนี้ นายสมหวังและบริษัทประกันภัยจะมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากนายสมควรเป็นจำนวนรายละเท่าไร เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 880 วรรคแรก ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น
ถ้าผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแต่เพียงบางส่วนไซร้ ท่านห้ามมิให้ผู้รับประกันภัยนั้นใช้สิทธิของตนให้เสื่อมเสียสิทธิของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ในการที่เขาจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกเพียงเศษแห่งจำนวนวินาศนั้น
วินิจฉัย
ตามปัญหา บริษัทประกันภัยได้ชำระค่าสินไหมทดแทนไปบางส่วนคือ 600,000 บาท ย่อมเข้ารับสิทธิของนายสมหวังไปฟ้องนายสมควรได้เพียง 600,000 บาท ตามมาตรา 880 วรรคแรก แต่บริษัทประกันภัยจะใช้สิทธิให้เสื่อมเสียสิทธิของนายสมหวังที่ฟ้องร้องเอาค่าสินไหมทดแทนส่วนที่เหลืออีก 400,000 บาท จากนายสมควรไม่ได้ ตามมาตรา 880 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อนายสมควรมีทรัพย์สินอยู่เพียง 500,000 บาท ไม่พอชำระให้ครบทั้งสองราย จึงต้องให้นายสมหวังผู้เอาประกันภัยมีสิทธิได้ค่าสินไหมทดแทนก่อน 400,000 บาท ส่วนที่เหลือบริษัทประกันไหมจึงได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียง 100,000 บาท
สรุป สมหวังมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 400,000 บาท ส่วนบริษัทประกันภัยมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท
ข้อ 3 นายชัยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางแวว นายชัยทำสัญญาประกันชีวิตตนเองแบบอาศัยความมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง วงเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท ระบุนางแววเป็นผู้รับประโยชน์ระยะเวลา 20 ปี อีก 1 ปีต่อมา นายชัยโต้เถียงกับนางแววอย่างรุนแรง สาเหตุเกิดจากนายชัยเกิดความหวาดระแวงว่านางแววจะกลับไปอยู่กินกับสามีเก่า และสมคบกันวางแผนฆ่าตนเองเพื่อเอาเงินประกันชีวิต นางแววเกิดความเสียใจจึงหนีไปอยู่กับน้องสาว ครั้นต่อมาบริษัทประกันได้ออกกรมธรรม์และส่งมาให้แล้ว นายชัยได้ทำหนังสือแจ้งไปยังบริษัทประกันภัยว่าตนเองต้องการเปลี่ยนผู้รับประโยชน์เป็นนายเอกลูกชายซึ่งเกิดกับภรรยาคนก่อน หลังจากนั้นอีก 2 ปี ในระหว่างที่สัญญามีผลบังคับนายชัยขับรถไปต่างจังหวัด รถคว่ำเป็นเหตุให้นายชัยถึงแก่ความตาย นางแววทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์จึงยื่นขอรับเงินประกัน แต่บริษัทประกันภัยแจ้งว่าได้จ่ายเงินให้นายเอกไปแล้ว ดังนี้ให้วินิจฉัยว่านางแววมีสิทธิเรียกร้องเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิตหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 891 วรรคแรก แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัยย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก้ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจำนงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น
วินิจฉัย
แม้นายชัยระบุนางแววเป็นผู้รับประโยชน์ไว้แล้วก็ตาม นายชัยย่อมมีสิทธิเปลี่ยนตัวผู้รับประโยชน์เป็นนายเอกได้ เว้นแต่จะเข้าหลักเกณฑ์สองประการที่นายชัยจะโอนสิทธิตามสัญญาประกันชีวิตไปให้ผู้อื่นอีกไม่ได้คือ
1 ได้มีการส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่นางแววไปแล้ว
2 นางแววได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังบริษัทประกันภัยแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางแววยังไม่ได้รับกรมธรรม์เพราะหนีออกจากบ้านไปก่อนที่บริษัทประกันส่งกรมธรรม์ฯ มาให้และนางแววไม่ได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังบริษัทผู้รับประกันชีวิต นางแววบุคคลภายนอกจึงยังไม่มีสิทธิสมบูรณ์เนื่องจากยังไม่ครบหลักเกณฑ์ 2 ข้อดังกล่าว
สรุป นางแววไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิต