การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นาย ก มอบหมายนาย ข ให้มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์โดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ ต่อมามีนาย ค มาขอเช่าซื้อรถยนต์ โดยนาย ข ได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อกับนาย ค ไป และนาย ค ได้วางเงินดาวน์ไว้ 300,000 บาท ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า
1.1 นาย ข มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
1.2 สัญญาให้เช่าซื้อที่นาย ข ทำไป มีผลเป็นเช่นไร
1.3 เงินดาวน์ที่นาย ค มอบให้ไว้กับนาย ข นั้น นาย ข จะต้องโอนคืนตัวการหรือไม่ เพราะเหตุใด
1.4 หากนาย ข ไม่คืน นาย ก ฟ้องนาย ข ให้คืน นาย ข อ้างว่านาย ก ไม่มีสิทธิฟ้อง เพราะนาย ก ตั้งนาย ข เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือ ดังนี้ข้ออ้างของนาย ข ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ให้ท่านวินิจฉัยเป็นข้อๆ พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยทุกข้อ
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 152 การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ
มาตรา 572 วรรคสอง สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ
มาตรา 798 กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย
มาตรา 810 เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น
วินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก มอบหมายให้นาย ข มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์โดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ และต่อมามีนาย ค มาขอเช่าซื้อรถยนต์โดยได้วางเงินดาวน์ไว้ 300,000 บาท และนาย ข ได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อกับนาย ค ไป
1.1 ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว นาย ข มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อหรือไม่ เห็นว่า เมื่อการทำสัญญาให้เช่าซื้อนั้นเป็นกิจการที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ (มาตรา 572 วรรคสอง) ดังนั้น การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญาให้เช่าซื้อจึงต้องทำเป็นหนังสือด้วย ตามมาตรา 798 วรรคแรก เมื่อการตั้งตัวแทนของนาย ก ที่ให้นาย ข เป็นตัวแทนไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์มิได้ทำเป็นหนังสือ จึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา 798 วรรคแรก ดังนั้นนาย ข จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ
1.2 เมื่อนาย ข ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ ดังนั้นเมื่อนาย ข ได้ไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์กับนาย ค สัญญาให้เช่าซื้อดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ ตามมาตรา 152 ที่มีหลักว่า การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ
1.3 แม้การตั้งตัวแทนระหว่างนาย ก กับนาย ข จะมิได้ทำเป็นหนังสือ แต่เงินดาวน์ที่นาย ข รับไว้จากนาย ค 300,000 บาทนั้น เป็นเงินที่นาย ข รับไว้ในฐานะตัวแทนของนาย ก ซึ่งเป็นตัวการ ดังนั้นนาย ข จึงต้องโอนคืนให้แก่ตัวการคือนาย ก ตามมาตรา 810 วรรคแรก
1.4 หากนาย ข ไม่โอนคืนเงิน 300,000 บาท นั้นให้แก่นาย ก นาย ก ย่อมสามารถฟ้องให้นาย ข โอนคืนได้ การที่นาย ข อ้างว่า นาย ก ตั้งนาย ข เป็นตัวแทน มิได้ทำเป็นหนังสือตามมาตรา 798 วรรคแรกนั้น ข้ออ้างของนาย ข ฟังไม่ขึ้น เพราะระหว่างนาย ก ตัวการกับนาย ข ตัวแทนนั้น แม้สัญญาตั้งตัวแทนจะมิได้ทำเป็นหนังสือก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ เพราะถือว่าเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798
สรุป
1.1 นาย ข ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ
1.2 สัญญาให้เช่าซื้อที่นาย ข ทำไปมีผลเป็นโมฆะ
1.3 เงินดาวน์ที่นาย ค มอบให้ไว้กับนาย ข นั้น นาย ข จะต้องโอนคืนตัวการ
1.4 ข้ออ้างของนาย ข ที่ว่าการตั้งตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือฟังไม่ขึ้น
ข้อ 2 นาย ก มอบหมายนาย ข ให้ซื้อบ้านไม้สักทรงไทย 1 หลัง ในราคาที่แพงมาก นาย ก ไม่อยากให้ใครรู้ว่านาย ก มีเงินมาก จึงให้ซื้อโดยใส่ชื่อนาย ข เป็นเจ้าของไปก่อน หลังจากนั้น 3 ปี นาย ก จึงให้นาย ข โอนบ้านหลังดังกล่าวมาให้นาย ก นาย ข ไม่โอนให้โดยอ้างว่าบ้านเป็นชื่อของนาย ข ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า นาย ข จะต้องโอนบ้านให้นาย ก หรือไม่ และหากนาย ข ไม่โอน นาย ก จะฟ้องให้นาย ข โอนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 806 ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่
มาตรา 810 เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น
อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น
วินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก มอบหมายให้นาย ข ซื้อบ้านไม้สักทรงไทย 1 หลังให้แก่ตน แต่นาย ก ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตนมีเงินมาก จึงให้ซื้อโดยใส่ชื่อของนาย ข เป็นเจ้าของไปก่อนนั้น กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องของตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา 806 โดยนาย ก ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อได้มอบหมายให้นาย ข ตัวแทน ออกหน้าเป็นตัวการ ดังนั้น การที่นาย ข ได้ไปซื้อบ้านหลังดังกล่าว แม้นาย ข จะได้ซื้อบ้านในนามของนาย ข เอง แต่ก็เป็นการกระทำที่ได้รับมอบหมายจากนาย ก ให้กระทำแทนนาย ก และเมื่อนาย ก ต้องการให้นาย ข โอนบ้านหลังดังกล่าวมาให้นาย ก นาย ข จึงต้องโอนบ้านหลังนั้นคืนให้แก่นาย ก ตามมาตรา 810 ซึ่งมีหลักว่า เงินและทรัพย์สินที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้นและหากนาย ข ไม่โอน นาย ก ย่อมสามารถฟ้องให้นาย ข โอนบ้านให้แก่ตนได้
สรุป นาย ข จะต้องโอนบ้านให้นาย ก และหากนาย ข ไม่โอน นาย ก ฟ้องให้นาย ข โอนได้
ข้อ 3 นาย ก มอบหมายให้นาย ข ขายที่ดินให้ และตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จ แต่นาย ข จะต้องขายให้ได้ภายในระยะเวลาปี พ.ศ.2553 แต่นาย ข มาขายที่ดินได้ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2554 ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า นาย ก จะต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย ข หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 845 วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว
วินิจฉัย
จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคแรก จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทำสัญญากับบุคลภายนอก และนายหน้ารับกระทำการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทำสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับค่าบำเหน็จ
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสัญญานายหน้านั้นมีการกำหนดระยะเวลาไว้เป็นที่แน่นอนว่านายหน้าจะต้องกระทำการให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลานั้น นายหน้าจะมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อได้กระทำการให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลานั้นด้วย (ฎ. 827/2523)
ตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก มอบหมายให้นาย ข ขายที่ดินให้ และตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จแต่นาย ข จะต้องขายให้ได้ภายในระยะเวลาปี พ.ศ.2553 นั้น แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่าได้กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนแล้วว่าจะต้องขายที่ดินให้ได้ภายในสิ้นปี พ.ศ.2553 และหากไม่มีการผ่อนเวลาย่อมถือได้ว่าสัญญาดังกล่าวได้สิ้นสุดลง
ดังนั้นเมื่อภายในระยะเวลาปี พ.ศ.2553 นาย ข ยังขายที่ดินไม่ได้โดยนาย ข มาขายได้เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2554 จึงล่วงเลยเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ เท่ากับว่า นาย ข ขายที่ดินไม่ได้ตามระยะเวลาที่ตกลงไว้กับนาย ก จึงถือว่าสัญญานายหน้าดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว นาย ก จึงไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย ข ตามมาตรา 845
สรุป นาย ก ไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย ข