การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 ก มอบ ข ให้ไปซื้อที่ดิน ข ซื้อที่ดินของตนเองโดยตัวการมิได้ยินยอมด้วย โดย ก ตกลงให้ ข ซื้อที่ดินครั้งนี้ว่าจะให้บำเหน็จ กรณีหนึ่ง
อีกกรณีหนึ่ง ก มอบ ข ให้เป็นผู้จัดการร้านค้าสะดวกซื้อ นอกจากเป็นผู้จัดการแล้ว
ยังให้ ข มีหน้าที่ซื้อสินค้าเข้าร้านด้วย ให้ท่านวินิจฉัยว่า ทั้ง 2 กรณี ก ตกลงว่าจะให้บำเหน็จนั้น กรณีใดจะใช้หลักมาตราใดในการให้บำเหน็จ
ธงคำตอบหลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 803 ตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จ เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่ามีบำเหน็จ หรือทางการที่คู่สัญญาประพฤติต่อกันนั้นเป็นปริยายว่ามีบำเหน็จ หรือเคยเป็นธรรมเนียมมีบำเหน็จ
มาตรา 805 ตัวแทนนั้น เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ จะเข้าทำนิติกรรมอันใดในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง หรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่ เว้นแต่นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การชำระหนี้
มาตรา 818 การในหน้าที่ตัวแทนส่วนใดตัวแทนได้ทำมิชอบในส่วนนั้น ท่านว่าตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้บำเหน็จ
วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 803 โดยหลักแล้วตัวแทนไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จ เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันระหว่างตัวการกับตัวแทนว่ามีบำเหน็จ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีข้อตกลงดังกล่าว ตัวแทนก็อาจจะไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จ เช่น หากตัวแทนกระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา 805 ตัวแทนย่อมไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จ เพราะถือว่าเป็นการทำมิชอบตามมาตรา 818
กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย 2 กรณี คือ
กรณีแรก จะใช้หลักมาตราใดในการพิจารณาให้บำเหน็จ เห็นว่า การที่ ก มอบหมายให้ ข ไปซื้อที่ดินนั้น ถือเป็นการมอบหมายให้ตัวแทนไปทำการเพียงอย่างเดียว กรณีนี้จึงต้องใช้หลักมาตรา 803 ในการพิจารณาให้บำเหน็จ และเมื่อปรากฏว่า ก ตัวการตกลงจะให้บำเหน็จแก่ ข ตัวแทน ขอ ก็ย่อมมีสิทธิได้รับบำเหน็จ หากว่า ข ทำการที่ ก มอบหมาย คือ ไปซื้อที่ดินได้สำเร็จ
และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ข ซื้อที่ดินของตนเอง โดยที่ ก ตัวการมิได้ยินยอมด้วย จึงเป็นการที่ ข ตัวแทนทำนิติกรรมในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง อันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา 805 ดังนั้น ข จึงไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จตามมาตรา 818 ที่ว่าการใดตัวแทนทำมิชอบจะไม่ได้บำเหน็จ
กรณีที่สอง จะใช้หลักมาตราใดในการพิจารณาให้บำเหน็จ เห็นว่า การที่ ก มอบหมายให้ ข เป็นผู้จัดการร้านค้าสะดวกซื้อ และยังให้ ข มีหน้าที่ซื้อสินค้าเข้าร้านด้วย โดย ก ตกลงว่าจะให้บำเหน็จนั้น ถือเป็นการมอบหมายให้ตัวแทนไปทำการมากกว่า 1 อย่างขึ้นไป คือ เป็นกรณีที่กิจการที่มอบหมายนั้นแบ่งออกได้เป็นหลายส่วนนั่นเอง กรณีนี้จึงต้องใช้หลักมาตรา 818 ในการพิจารณาให้บำเหน็จ กล่าวคือ แม้ว่า ข จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จ แต่หาก ข ตัวแทนทำมิชอบในส่วนใด ก็จะไม่มีสิทธิรับบำเหน็จในส่วนนั้น
สรุป กรณีแรกใช้หลักมาตรา 803 ในการพิจารณาให้บำเหน็จ ส่วนกรณีที่สองจะใช้หลักมาตรา 818 ในการพิจารณาให้บำเหน็จ
ข้อ 2 สามีไปติดต่อแดงให้เป็นนายหน้าขายที่ดินซึ่งภริยาเป็นผู้มีชื่อในโฉนดแต่เพียงผู้เดียว ต่อมาเมื่อแดงจัดการขายที่ดินดังกล่าวได้แล้ว ทั้งสามีและภริยาไม่จ่ายค่าบำเหน็จแก่แดงโดยฝ่ายสามีอ้างว่าไม่ได้ตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแต่อย่างใด ส่วนทางภริยาก็อ้างว่าไม่เคยตกลงให้แดงเป็นนายหน้าขายที่ดินของตน ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 845 วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว
มาตรา 846 วรรคแรก ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า
วินิจฉัย
โดยหลัก สัญญานายหน้านั้น ถ้าได้มีการตกลงกันในเรื่องค่าบำเหน็จและนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาทำสัญญากับตัวการจนสำเร็จแล้ว นายหน้าก็ย่อมได้รับค่าบำเหน็จตามที่ตกลงไว้ ตามมาตรา 845 วรรคแรก และแม้จะมิได้มีการตกลงกันในเรื่องค่าบำเหน็จ แต่ถ้ากิจการใดโดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่านายหน้ากระทำเพื่อจะเอาบำเหน็จ ก็ให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า ตามมาตรา 846 วรรคแรก
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สามีไปติดต่อแดงให้เป็นนายหน้าขายที่ดินซึ่งภริยาเป็นผู้มีชื่อในโฉนดแต่เพียงผู้เดียว และต่อมาแดงได้จัดการขายที่ดินดังกล่าวได้แล้วนั้น กรณีนี้เมื่อเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย และภริยาก็รู้แล้วว่าแดงเป็นนายหน้าขายที่ดิน เพราะที่ดินดังกล่าวขายได้แล้ว ดังนั้น สามีภริยาย่อมจะต้องรับผิดในกิจการที่แดงทำร่วมกัน (ฎ. 975/2509)
และจากข้อเท็จจริง แม้ว่าสัญญานายหน้าระหว่างสามีกับแดงนั้นจะมิได้มีการตกลงกันในเรื่องค่าบำเหน็จนายหน้าเอาไว้ แต่กิจการที่สามีมอบให้แก่แดง คือ การติดต่อขายที่ดินนั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าแดงย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ กรณีนี้ย่อมถือว่าสามีและแดงได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จไม่ใช่ทำให้เปล่า ตามมาตรา 846 วรรคแรก เมื่อปรากฏว่าแดงได้ชี้ช่องและจัดการขายที่ดินดังกล่าวได้แล้ว ทั้งสามีและภริยาจึงต้องร่วมกันรับผิดจ่ายค่านายหน้าให้แก่แดงตามมาตรา 845 วรรคแรกประกอบมาตรา 846 วรรคแรก ดังนั้น การที่สามีและภริยาไม่จ่ายค่าบำเหน็จแก่แดงโดยฝ่ายสามีอ้างว่าไม่ได้ตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแต่อย่างใด ส่วนทางภริยาก็อ้างว่าไม่เคยตกลงให้แดงเป็นนายหน้าขายที่ดินของตนนั้น ข้ออ้างของทั้งสามีและภริยาดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น
สรุป ข้ออ้างทั้งสามีและภริยาฟังไม่ขึ้น
ข้อ 3 นายอาทิตย์เปิดร้านขายรถยนต์ใช้แล้วอยู่แถวถนนรามคำแหง นายจันทร์ได้นำรถยนต์ของตนไปฝากนายอาทิตย์ขาย 1 คัน ในราคา 200,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายได้จะให้ค่าบำเหน็จแก่นายอาทิตย์ จำนวน 20,000 บาท และในขณะเดียวกันก็ให้นายอาทิตย์ซื้อรถยนต์ใช้แล้วให้ตนใหม่ 1 คัน ในราคาไม่เกิน 300,000 บาท โดยตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายอาทิตย์ จำนวน 25,000 บาท นายอาทิตย์ได้นำรถยนต์ของนายจันทร์ไปขายเชื่อให้แก่นายอังคารและได้ไปซื้อรถยนต์คันใหม่จากนายพุธในราคา 300,000 บาท ให้แก่นายจันทร์ ซึ่งนายอาทิตย์ยังไม่ได้ชำระเงินให้แก่นายพุธดังนี้อยากทราบว่า
(ก) ถ้าหนี้ถึงกำหนด นายอังคารไม่นำเงินมาชำระ นายอาทิตย์หรือนายจันทร์จะเป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์จากนายอังคาร เพราะเหตุใด
(ข) ถ้าหนี้ถึงกำหนด นายอาทิตย์ไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายพุธ นายพุธจะฟ้องนายอาทิตย์หรือนายจันทร์ให้ชำระหนี้แก่ตน เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 833 อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ หรือขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ
มาตรา 837 ในการที่ตัวแทนค้าต่างทำการขายหรือซื้อหรือจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการนั้น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น และตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย
วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 837 ได้บัญญัติถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่างต่อบุคคลภายนอกไว้ว่า เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายหรือจัดทำกิจการอย่างใดแทนตัวการแล้ว ตัวแทนค้าต่างย่อมต้องผูกพันเป็นคู่สัญญากับบุคคลภายนอกโดยตรง ถ้าบุคคลภายนอกผิดสัญญา ตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องตามสัญญานั้นในนามของตนเองได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกตามสัญญานั้นด้วย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์ได้นำรถยนต์ของตนไปฝากนายอาทิตย์ขาย 1 คัน และให้นายอาทิตย์ซื้อรถยนต์ใช้แล้วให้ตนใหม่ 1 คัน โดยตกลงจะให้บำเหน็จแก่นายอาทิตย์ ซึ่งนายอาทิตย์เปิดร้านขายรถยนต์ใช้แล้วอยู่แถวถนนรามคำแหงนั้น ย่อมถือว่านายอาทิตย์เป็นตัวแทนค้าต่างของนายจันทร์ตามมาตรา 833 ดังนี้
(ก) จากข้อเท็จจริง เมื่อนายอาทิตย์ได้นำรถยนต์ของนายจันทร์ไปขายเชื่อให้แก่นายอังคารและถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระ นายอังคารผิดสัญญาไม่นำเงินมาชำระค่ารถยนต์ นายอาทิตย์ผู้เป็นตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาย่อมเป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์จากนายอังคาร เพราะนายอาทิตย์ได้ทำสัญญาขายเชื่อรถยนต์ให้แก่นายอังคารในนามของตนเอง จึงมีสิทธิต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการค้าขายรถยนต์นั้นตามมาตรา 837
(ข) จากข้อเท็จจริง เมื่อนายอาทิตย์ได้ไปซื้อรถยนต์คันใหม่จากนายพุธ และถ้าหนี้ถึงกำหนด นายอาทิตย์ผิดสัญญาไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายพุธ นายพุธจะต้องฟ้องนายอาทิตย์ผู้เป็นตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาให้ชำระหนี้แก่ตน เพราะนายอาทิตย์ทำการซื้อรถยนต์กับนายพุธในนามของตนเอง จึงต้องผูกพันต่อคู่สัญญาคือนายพุธด้วยตามมาตรา 837 นายพุธจะไปฟ้องเอากับนายจันทร์ตัวการมิได้ เพราะนายจันทร์มิใช่คู่สัญญา
สรุป
(ก) นายอาทิตย์เป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์จากนายอังคาร
(ข) นายพุธจะต้องฟ้องนายอาทิตย์ผู้เป็นตัวแทนค้าต่างให้ชำระหนี้แก่ตน