การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 ก ตกลงให้ ข ทำการอย่างหนึ่งแทนตน โดยให้ ข ออกหน้าเป็นตัวการ ข ได้ทำการนั้นกับ ค โดย ค เข้าใจโดยสุจริตว่า ข คือเจ้าของกิจการที่ ค เข้ากระทำด้วย ต่อมา ค ได้รับความเสียหายจาก ข ค จึงฟ้อง ข ให้รับผิด ข ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า ข เป็นเพียงตัวแทนทำแทน ก ตัวการได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง จากโจทย์ข้างต้นว่า ภายหลังจาก ค ทำสัญญากับ ข แล้ว ค รู้ว่า ข เป็นเพียงตัวแทน และ ก เป็นตัวการ เมื่อ ค ได้รับความเสียหายจาก ข ค จะฟ้อง ก ให้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และ ก จะปฏิเสธความรับผิดว่าตนตั้ง ข เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือ ค ไม่มีอำนาจฟ้อง ข้ออ้างของ ก ฟังขึ้นหรือไม่
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 798 กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย
กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย
มาตรา 806 ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทน
ได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่
วินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ การที่ ก ตกลงให้ ข ทำการอย่างหนึ่งแทนตนโดยให้ออกหน้าเป็นตัวการ และ ข ได้ทำการนั้นกับ ค โดย ค เข้าใจโดยสุจริตว่า ข คือเจ้าของกิจการที่ ค เข้ากระทำด้วยนั้น ถือว่าเป็นเรื่องตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา 806 เมื่อ ค บุคคลภายนอกไม่รู้ว่ามีตัวการ ข จึงต้องรับผิดต่อ ค เช่นเดียวกับเป็นตัวการเอง ดังนั้น ข จะปฏิเสธความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้ตามมาตรา 806 (ฎ. 311/2523)
ส่วนอีกประการหนึ่ง ภายหลังจากทำสัญญา การที่ ค รู้ว่า ข เป็นเพียงตัวแทนของ ก เมื่อเป็นเรื่องตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา 806 และบุคคลภายนอกรู้แล้วว่าตัวการคือใคร ดังนั้น ข ตัวแทน จึงหลุดพ้นจากความรับผิด ค จึงฟ้อง ก ตัวการให้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ และ ก จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า ค ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้ เพราะแม้ว่าการที่ ก ตั้ง ข เป็นตัวแทนจะมิได้ทำเป็นหนังสือ แต่บทบัญญัติมาตรา 806 เป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798 ข้ออ้างของ ก จึงฟังไม่ขึ้น
สรุป ประการแรก ข จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าตนเป็นเพียงตัวแทนทำแทน ก ตัวการไม่ได้ และประการที่สอง ข้ออ้างของ ก ที่ว่า ค ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นฟังไม่ขึ้น
ข้อ 2 นายแดงเปิดร้านขายทองรูปพรรณอยู่ที่ตลาดบางกะปิมาหลายสิบปีแล้ว เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2553 นายดำได้นำทองรูปพรรณหนัก 100 บาท ซึ่งได้รับมรดกจากมารดามาฝากนายแดงขายโดยตกลงจ่ายบำเหน็จให้แก่นายแดงร้อยละ 3 ซึ่งราคาซื้อขายทองคำเป็นไปตามราคาตลาดโลก ในวันที่นำมาฝากขายราคาทองคำบาทละ 18,300 บาท ต่อมาวันที่ 10 กันยายน 2553 ราคาทองคำตามราคาตลาดโลกบาทละ 18,500 บาท นายแดงจึงอยากซื้อทองรูปพรรณของนายดำที่นำมาฝากขายเพราะเห็นว่าราคาทองคำจะต้องขึ้นราคาสูงกว่า 18,500 บาท ถ้าตนซื้อไว้คงจะได้กำไร จึงได้โทรศัพท์ไปบอกกล่าวแก่นายดำ นายดำได้รับคำบอกกล่าวแล้วก็ไม่ได้บอกปัดในทันทีที่ได้รับโทรศัพท์เพราะต้องการได้เงินจากการขายทองรูปพรรณ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณดังกล่าว เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด และนายแดงจะคิดเอาบำเหน็จจากนายดำได้หรือไม่ จงอธิบาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 833 อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ หรือขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ
มาตรา 843 ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้ เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญาในกรณีเช่นนั้น ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น ณ สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย
เมื่อตัวการรับคำบอกกล่าวเช่นนั้น ถ้าไม่บอกปัดเสียในที ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว
อนึ่งแม้ในกรณีเช่นนั้น ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้
วินิจฉัย
ตามมาตรา 843 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าตัวการมอบหมายให้ตัวแทนค้าต่างขายทรัพย์สินแทนตน และทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน และไม่มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งในสัญญาตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไว้เสียเองก็ได้
แต่อย่างไรก็ตาม ตัวแทนค้าต่างจะต้องบอกกล่าวให้ตัวการรู้ด้วยว่าตนเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น ซึ่งถ้าตัวการไม่ต้องการขายให้ตัวแทนค้าต่างก็ต้องบอกปัดในทันที ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตัวการได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว และนอกจากนี้ตัวแทนค้าต่างก็ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามสัญญาอีกด้วย
ตามอุทาหรณ์ การที่นายดำนำทองรูปพรรณไปฝากนายแดงขาย ซึ่งนายแดงได้เปิดร้านขายทองรูปพรรณมาหลายสิบปีแล้วนั้น ถือว่านายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างตามมาตรา 833
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ต่อมาราคาทองคำได้เพิ่มสูงขึ้นตามราคาตลาดโลกซึ่งถือเป็นรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน เมื่อนายแดงเห็นว่าราคาทองคำจะมีแนวโน้มสูงขึ้นจึงต้องการซื้อทองรูปพรรณของนายดำไว้เพื่อเก็งกำไร ดังนี้นายแดงก็ย่อมสามารถทำได้ เพราะในสัญญาไม่มีข้อห้ามไว้ตามมาตรา 843 วรรคแรก
และเมื่อนายแดงโทรศัพท์ไปบอกกล่าวแก่นายดำตัวการ ซึ่งนายดำได้รับคำบอกกล่าวแล้วแต่มิได้บอกปัดในทันที จึงถือว่านายดำได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณระหว่างนายแดงกับนายดำจึงเกิดขึ้นตามมาตรา 843 วรรคสอง และนอกจากนี้นายแดงก็ยังคิดเอาบำเหน็จร้อยละ 3 จากนายดำเนื่องจากการซื้อขายของตนได้อีกด้วยตามมาตรา 843 วรรคท้าย
สรุป สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว และนายแดงสามารถคิดเอาบำเหน็จจากนายดำได้
ข้อ 3 หลังจากบิดาตาย ที่ดินส่วนมรดกของบิดาก็ตกทอดแก่ทายาทคือมารดาและบุตรอีกสองคน ซึ่งเข้ารับมรดกมีชื่อร่วมกันในโฉนดดังกล่าว เมื่อต้องการขายที่ดินเพื่อเอาเงินมาแบ่งกัน มารดาก็จัดการขายที่ดินโดยให้ขาวเป็นนายหน้า ในขณะที่ขาวมาพูดคุยกับมารดาเรื่องการขายที่ดินโดยมีค่านายหน้าบุตรก็ทราบและการพูดคุยบางครั้งบุตรก็อยู่ด้วย เมื่อขาวหาคนมาซื้อที่ดินได้แล้ว บุตรสองคนไม่ยอมจ่ายค่านายหน้า โดยอ้างว่าไม่เคยตกลงให้ขาวเป็นนายหน้า ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 821 บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน
มาตรา 845 วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว
วินิจฉัย
โดยหลัก สัญญานายหน้านั้น ถ้าได้มีการตกลงกันในเรื่องบำเหน็จและนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาทำสัญญากับตัวการจนสำเร็จแล้ว นายหน้าก็ย่อมมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามที่ตกลงกันไว้ ตามมาตรา 845 วรรคแรก
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มารดาจัดการขายที่ดิน โดยให้ขาวเป็นนายหน้า ซึ่งในขณะที่ขาวมาพูดคุยกับมารดาเรื่องการขายที่ดินโดยมีค่านายหน้าบุตรก็ทราบ และการพูดคุยบางครั้งบุตรก็อยู่ด้วยนั้น ถือได้ว่าบุตรทั้งสองคนได้เชิดมารดาออกเป็นตัวแทนของตนในการทำสัญญานายหน้ากับขาวแล้วตามมาตรา 821
ดังนั้น เมื่อขาวหาคนมาซื้อที่ดินดังกล่าวได้แล้ว ถือว่าเป็นกรณีที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้าทำสัญญากับตัวการจนสำเร็จ ดังนั้นบุตรทั้งสองซึ่งเป็นตัวการจึงต้องรับผิดร่วมกับมารดาซึ่งเป็นตัวแทนของตน ในการจ่ายค่านายหน้าให้แก่นายขาวด้วยตามมาตรา 821 ประกอบมาตรา 845 วรรคแรก ข้ออ้างของบุตรทั้งสองคนที่ว่าไม่เคยตกลงให้ขาวเป็นนายหน้าจึงไม่ต้องจ่ายค่านายหน้านั้นฟังไม่ขึ้น
สรุป ข้ออ้างของบุตรทั้งสองคนดังกล่าวฟังไม่ขึ้น