การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 ก ต้องการเซ็นชื่อในใบมอบอำนาจให้ตัวแทนไปจำนอที่ดิน โดยไม่กรอกข้อความลงในใบมอบอำนาจ
ข ตัวแทนกรอกข้อความเองโดยกรอกข้อความว่า นำที่ดินไปขายฝาก ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของ ก ตัวการ ข นำไปขายฝากให้ ค และ ค รับซื้อฝากไว้โดยสุจริต เมื่อ ก ทราบเรื่อง ก จึงฟ้องเพิกถอนสัญญาขายฝากนั้น และฟ้อง ข ว่า ข ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ศาลพิพากษา ว่า ข ผิดตามที่ ก ฟ้อง ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า
1) การกระทำครั้งนี้ของ ข ผูกพัน ก ตัวการหรือไม่ ก จะปฏิเสธความรับผิดต่อ ค ผู้ซึ่งรับซื้อฝากไว้โดยสุจริตได้หรือไม่
2) เมื่อศาลพิพากษาว่า ข ผิดปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ก จะฟ้องเพิกถอนสัญญาที่ ข ทำกับ ค ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 821 บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วย่อมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน
มาตรา 822 ถ้าตัวแทนทำการอันใดเกินอำนาจตัวแทน แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตราก่อนนี้เป็นบทบังคับแล้วแต่กรณี
วินิจฉัย
1) การที่ ก ลงลายมือชื่อในใบมอบอำนาจให้ตัวแทนไปจำนองที่ดิน โดยไม่กรอกข้อความลงในใบอำนาจ เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อยอมเสี่ยงภัยในการกระทำของตนเองอย่างร้ายแรง เมื่อ ข นำใบมอบอำนาจไปกรอกข้อความเป็นให้ขายฝาก ซึ่งเป็นผิดวัตถุประสงค์ของ ก เป็นกรณีเข้าลักษณะความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอก ตามมาตรา 822 ซึ่งเป็นเรื่องที่ตัวแทน คือ ข ทำการเกินอำนาจตัวแทน แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีเหตุอันสมควรจะเชื่อว่า การนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ค รับซื้อฝากไว้โดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน สัญญาขายฝากจึงผูกพันตัวการ ก ตัวการจึงต้องผูกพันรับผิดต่อ ค ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของตนมาเป็นเหตุให้พ้นความรับผิดไม่ได้ ตามมาตรา 822 ประกอบมาตรา 821
และในกรณีนี้ ก เจ้าของที่ดิน จะฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝากที่ดินหรือใช้สิทธิติดตามเอาที่ดินคืนด้วยเหตุผลว่า ข กระทำการเกินขอบอำนาจตัวแทนไม่ได้ ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ก ไม่มีอำนาจฟ้อง หากให้ฟ้องกันได้ ค ผู้ซื้อโดยสุจริตจะเสียหายเป็นอย่างมาก และความเสียหายนี้ก็เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของ ก โดยตรง จะนำหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนมาใช้ให้เกิดความเสียหายแก่ ค ไม่ได้
2) เมื่อ ค รับซื้อฝากโดยสุจริตเสียค่าตอบแทน โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้ว่า ข ผู้กรอกข้อความจะถูกศาลพิพากษาลงโทษในคดีอาญาฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ก จะนำเหตุดังกล่าวนี้ไปฟ้องเพิกถอนสัญญาขายฝากระหว่าง ข กับ ค ผู้รับซื้อฝากโดยสุจริตไม่ได้ เพราะ ค ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำไปโดยสุจริต ไม่รู้เหตุของการทำนอกของอำนาจของตัวแทนแต่อย่างใด สิทธิของ ค ย่อมไม่เสียไป หากก ต้องการได้ที่ดินคืน ก็ต้องชำระสินไถ่ตามกฎหมาย
สรุป
1) การกระทำของ ข ผูกพัน ก และ ก จะปฏิเสธความรับผิดไม่ได้
2) ก จะฟ้องเพิกถอนสัญญาขายฝากที่ ข ทำกับ ค ไม่ได้
ข้อ 2 ก มอบ ข ให้เป็นตัวแทนไปฟ้องคดีพร้อมทั้งให้อำนาจในการถอนฟ้องและยอมความได้ด้วย ระหว่างคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ก ได้ตายลง ข ไม่ทราบว่า ก ตาย ข ได้ทำสัญญายอมไปกับจำเลยทายาทของตัวการได้โต้แย้งว่า ข ไม่มีอำนาจทำสัญญายอมเพราะ ก ตาย ทำให้สัญญาระงับแล้ว ดังนี้ ข้ออ้างของทายาทฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใดประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง เนื่องจากการตายของ ก ตัวการ ทายาทได้บอกกล่าวแก่ ข ว่า ก ได้ตายแล้ว ข ยังทำสัญญายอมความให้กับจำเลย ดังนี้ ข จะมีอำนาจทำสัญญายอมความหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 826 วรรคสอง อนึ่งสัญญาตัวแทนย่อมระงับสิ้นไป เมื่อคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือล้มละลาย เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับข้อสัญญาหรือสภาพแห่งกิจการนั้น
มาตรา 830 อันเหตุที่จะทำให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปนั้นจะเกิดแต่ตัวการหรือตัวแทนก็ตาม ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง จนกว่าจะได้บอกกล่าวเหตุนั้นๆไปยังคู่สัญญาฝ่ายนั้นแล้ว หรือจนกว่าคู่สัญญาฝ่ายนั้นจะได้ทราบเหตุแล้ว
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ข้ออ้างของทายาทของตัวการที่ว่า ข ไม่มีอำนาจทำสัญญายอมความนั้นฟังขึ้นหรือไม่ เห็นว่า โดยหลักแล้วหากตัวการหรือตัวแทนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตาย สัญญาตัวแทนย่อมระงับสิ้นไป ตามมาตรา 826 วรรคสอง เว้นเสียแต่ว่าจะได้มีการตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น หรือโดยสภาพของงานนั้น ความตายไม่มีผลต่อการงานที่จะกระทำต่อไปแต่อย่างใด
แต่อย่างไรก็ตาม แม้สัญญาตัวแทนจะระงับลงแล้วก็ตาม แต่จะมีผลต่ออีกฝ่ายหนึ่งเมื่อได้มีการบอกกล่าวให้ตัวแทนหรือตัวการทราบแล้วแต่กรณี หรือจนกว่าตัวแทนหรือตัวการจะทราบเหตุนั้นแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วการระงับของสัญญาตัวแทนจะยังไม่มีผลต่อคู่สัญญา ต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นกรณีตามอุทาหรณ์ประการแรกนั้น ทายาทของตัวการจึงไม่สามารถยกเหตุแห่งความตายของ ก ตัวการมาต่อสู้ ข ตัวแทนซึ่งทำสัญญายอมความไปกับจำเลยว่า ข ไม่มีอำนาจทำไม่ได้ เพราะ ข ไม่รู้เหตุการณ์ของ ก โดยสุจริต ตามมาตรา 830 ประกอบมาตรา 826
ส่วนกรณีตามประการที่สองนั้น ทายาทได้บอกกล่าวเหตุแห่งความตายของ ก ตัวการ แก่ ข ตัวแทนแล้ว ข ยังทำสัญญายอมความกับจำเลยต่อไปอีกถือว่า ข ไม่มีอำนาจทำได้ เพราะการตายของ ก ทำให้สัญญาระงับ และ ข ได้รู้แล้วโดยการบอกกล่าวของทายาท ตามมาตรา 830 ประกอบมาตรา 826
สรุป ประการแรก ข้ออ้างของทายาทฟังไม่ขึ้น ส่วนประการที่สอง ข ตัวแทนไม่มีอำนาจทำสัญญายอมความ
ข้อ 3 ในกรณีที่มีผู้ขายที่ดิน และนายหน้า มิได้ตกลงกันไว้เป็นพิเศษว่าจะจ่ายค่านายหน้ากันเท่าใด และนายหน้าได้นำคดีมาฟ้องศาลเพื่อเรียกค่านายหน้า ถ้าท่านเป็นศาล ท่านจะพิจารณาตัดสินคดีนี้อย่างไร จะนำหลักกฎหมายหลักใดมาเป็นหลักในการตัดสิน การจ่ายบำเหน็จนายหน้า (ให้ท่านตอบพร้อมยกหลักกฎหมายและหลักฎีกาประกอบในการตอบด้วย)
ธงคำตอบ
มาตรา 846 วรรคสอง ค่าบำเหน็จนั้นถ้ามิได้กำหนดจำนวนกันไว้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียม
วินิจฉัย
ค่าบำเหน็จ คือ ค่าตอบแทนจากการเป็นนายหน้าที่ชี้ช่องให้บุคคลที่แต่งตั้งนายหน้าได้เข้าทำสัญญากับอีกฝ่ายหนึ่งโดยอ้อม หรือได้จัดการให้บุคคลที่แต่งตั้งนายหน้าได้เข้าทำสัญญากับอีกฝ่ายหนึ่งได้สำเร็จโดยตรง ค่าบำเหน็จนี้อาจเป็นเงิน ที่ดิน หรือทรัพย์สินอื่นก็ได้ อาจกำหนดบำเหน็จหรือค่าตอบแทนไว้หลายส่วนก็ได้
แต่อย่างไรก็ตาม จะใช้ค่าบำเหน็จนายหน้าก็ต่อเมื่อได้มีการตกลงกันของคู่สัญญาแล้ว จะเป็นการตกลงโดยตรงหรือโดยปริยายก็ได้ สำหรับจำนวนค่านายหน้าหรือบำเหน็จค่านายหน้านั้น แยกพิจารณาเป็น 2 กรณี คือ
1 ได้กำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้าโดยชัดแจ้ง
2 ไม่ได้กำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้าไว้
สำหรับกรณีที่ไม่ได้กำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้ ตามมาตรา 846 วรรคสอง ให้ถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียมที่เคยมีบุคคลอื่นปฏิบัติกันมา ดังนั้นค่าบำเหน็จนายหน้าที่คู่สัญญาตกลงกันเป็นพิเศษจะต้องกำหนดกันไว้โดยชัดแจ้ง มิฉะนั้นจะต้องถือว่าตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียมตามบทบัญญัติมาตรา 846 วรรคสอง
ทั้งนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3581/2526 วางหลักของจำนวนตามธรรมเนียม ตามนัยมาตรา 846 วรรคสอง ว่า เมื่อไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่ามีการตกลงกำหนดค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้เท่าใดแน่นอน จึงต้องถือเอาอัตราตามธรรมเนียมการซื้อขายทรัพย์สินต่างๆ โดยทั่วไปแล้วหมายถึงร้อยละ 5 ของราคาที่ซื้อขายกันแท้จริง
สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะใช้หลักกฎหมายมาตรา 846 วรรคสอง และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3581/2526 ที่ให้ถือเอาอัตราตามธรรมเนียม คือ ร้อยละ 5 ของราคาซื้อขายกันแท้จริง มาเป็นแนวทางพิจารณา