การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2548
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2549 นายจิ๋วทำสัญญาจ้างนายใหญ่ อายุ 19 ปี เป็นลูกจ้างทำหน้าที่พนักงานเก็บเงินที่ร้านมินิมาร์ท (Mini Mart) เป็นระยะเวลา 3 ปี ต่อมาวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 นายน้อยพี่ชายของนายใหญ่ ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายใหญ่ให้กับนายจิ๋ว โดยจะยอมรับผิดชดใช้เงินถ้านายใหญ่ทำให้นายจิ๋วเสียหาย ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549 นายใหญ่ได้ร้องขอให้นายเบิ้มทำการค้ำประกันการทำงานให้ตน เพราะนายใหญ่ไม่ทราบว่านายน้อยพี่ชายของตนได้ทำการค้ำประกันให้แล้ว
แต่นายเบิ้มไม่ได้เข้าค้ำประกันให้ เพราะนายเบิ้มทราบแล้วว่านายน้อยได้ทำการค้ำประกันการทำงานให้นายจิ๋วแล้ว ในวันที่ 10 มีนาคม 2549 นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วไป 4,000 บาท ในวันที่ 11 มีนาคม 2549 นายจิ๋วได้แจ้งให้นายน้อยชำระหนี้แทนนายใหญ่ ต่อมาเมื่อนายน้อยทราบเรื่องจึงโกรธนายใหญ่ที่ไปยักยอกเงินนายจิ๋ว ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า
1 ถ้าในวันที่ 13 มีนาคม 2549 นายน้อยได้ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า “ตนไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เพราะนายใหญ่ยังเป็นผู้เยาว์ไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่อาจทำนิติกรรมสัญญาได้ อีกทั้งในขณะที่ตนเข้าทำสัญญาค้ำประกัน นายใหญ่ยังไม่ได้ก่อเหตุละเมิดจึงยังไม่มีหนี้ประธานในขณะทำสัญญาค้ำประกัน”
2 ถ้าในวันที่ 14 มีนาคม 2549 นายน้อยได้บอกเลิกสัญญาค้ำประกันต่อนายจิ๋ว ต่อมาในวันที่ 19 มีนาคม 2549 นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วอีกเป็นเงิน 7,000 บาท เช่นนี้
ทั้งสองกรณีนี้ข้อต่อสู้ของนายน้อยรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และนายน้อยต้องรับผิดต่อนายจิ๋วหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 680 วรรคแรก อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น
มาตรา 681 อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์
หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้ นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้
หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้ เพราะทำด้วยความสำคัญผิด หรือเพราะเป็นผู้ไร้ความสามารถนั้น ก็อาจจะมีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำประกันรู้เหตุสำคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้นในขณะที่ เข้าทำสัญญาผูกพันตน
มาตรา 699 การค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้นั้นท่านว่าผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้ โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้
ในกรณีเช่นนี้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดในกิจการที่ลูกหนี้กระทำลงภายหลังคำบอกกล่าวนั้นได้ไปถึงเจ้าหนี้
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า การค้ำประกันต้องให้ลูกหนี้ชั้นต้นทราบหรือไม่ เห็นว่า การค้ำประกันเป็นสัญญาที่บุคคลภายนอกเข้าทำการผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ เพื่อชำระหนี้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ประธาน ดังนั้น การค้ำประกันเป็นการทำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้ำประกันที่เป็นบุคคลภายนอก โดยไม่ต้องให้ลูกหนี้ชั้นต้นให้ความยินยอมก่อน ตามมาตรา 680 วรรคแรก ดังนั้น แม้ว่าวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 พี่ชายของนายใหญ่ จะได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายใหญ่ให้กับนายจิ๋ว โดยนายจิ๋วไม่ทราบว่านายน้อยพี่ชายได้ค้ำประกันก็ตาม
นายน้อยก็ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ในวันที่ 10 มีนาคม 2549 นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วไป 4,000 บาท ถือว่านายใหญ่ลูกหนี้ผิดนัดนับแต่วันทำละเมิดตามมาตรา 206 ความรับผิดของนายน้อย ผู้ค้ำประกันจึงเกิดขึ้น ตามมาตรา 686 ดังนั้น
1 ถ้าในวันที่ 13 มีนาคม 2549 นายน้อยได้ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า “ตนไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เพราะนายใหญ่ยังเป็นผู้เยาว์ไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่อาจทำนิติกรรมสัญญาได้ อีกทั้งในขณะที่ตนเข้าทำสัญญาค้ำประกัน นายใหญ่ยังไม่ได้ก่อเหตุละเมิดจึงยังไม่มีหนี้ประธานในขณะทำสัญญาค้ำประกัน”
ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่ เห็นว่าตามมาตรา 681 วรรคแรก และวรรคสอง การค้ำประกันหนี้มีได้แต่เฉพาะหนี้ประธานที่สมบูรณ์ เมื่อสัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจิ๋ว นายจ้าง กับนายใหญ่ ลูกจ้าง ซึ่งอายุ 19 ปี เป็นผู้เยาว์ โดยไม่ปรากฏว่าผู้แทนโดยชอบธรรมของนายใหญ่ให้ความยินยอม สัญญาจ้างแรงงานจึงตกเป็นโมฆียะ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการบอกล้างโมฆียะกรรมสัญญาจ้างแรงงานก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่ จึงมีการค้ำประกันได้
อีกทั้งแม้ว่าในขณะเข้าค้ำประกัน นายใหญ่ยังไม่ได้ก่อความเสียหายให้เกิดแก่นายจิ๋วก็ตาม ก็สามารถมีการค้ำประกันได้ เพราะหนี้ในอนาคตก็อาจมีการค้ำประกันได้ ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่หนี้นั้นอาจเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งการค้ำประกันการจ้างแรงงานถือว่าเป็นหนี้ในอนาคตจึงสามารถมีการค้ำประกันได้ ตามมาตรา 681 วรรคสอง ข้อต่อสู้ของนายน้อยจึงฟังไม่ขึ้นทั้งสองกรณี นายน้อยต้องรับผิดในหนี้ละเมิดที่นายใหญ่ได้ก่อให้เกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม 2549 เป็นเงิน 4,000 บาท
2 ส่วนถ้าในวันที่ 14 มีนาคม 2549 นายน้อยได้บอกเลิกสัญญาค้ำประกันต่อนายจิ๋ว ต่อมาในวันที่ 16 มีนาคม 2549 นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วอีกเป็นเงิน 7,000 บาท เช่นนี้นายน้อยจะบอกเลิกการค้ำประกันได้หรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 699 ถ้าเป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราว ไม่มีจำกัดเวลาในการค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันอาจบอกเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้ โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้ แต่ตามข้อเท็จจริงการจ้างแรงงานมีกำหนดเวลาจ้าง 3 ปี ถือว่าการค้ำประกันของนายน้อย มีจำกัดเวลาในการค้ำประกัน ดังนั้นนายน้อยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกการค้ำประกันได้ นายน้อยจึงต้องรับผิดในหนี้ละเมิดที่นายใหญ่ได้ก่อให้เกิดขึ้นในวันที่ 19 มีนาคม 2549 ต่อนายจิ๋วนายจ้างด้วย ข้อต่อสู้ของนายน้อยผู้ค้ำประกันฟังไม่ขึ้น
สรุป ข้อต่อสู้ของนายน้อยฟังไม่ขึ้นทั้งสองกรณี
ข้อ 2 นาย ก กู้เงินนาย ข เป็นเงิน 60,000 บาทถ้วน และมีนาย A นาย B และนาย C มาจำนองที่ดินของตนประกันหนี้รายนี้ให้กับการกู้ยืมเงิน โดยที่ดินนาย A มีราคา 100,000 บาท นาย B มีราคา 200,000 บาท และนาย C มีราคา 300,000 บาท ดังนี้ หากนาย ข ต้องการจะบังคับขายทอดตลาดทุกแปลงได้หรือไม่ และหากได้ ผู้จำนองจะต้องรับผิดชอบคนละเท่าไร
ธงคำตอบ
มาตรา 728 เมื่อจะบังคับจำนองนั้น ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร ซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว ผู้รับจำนองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดก็ได้
มาตรา 729 นอกจากทางแก้ดังบัญญัติไว้ในมาตราก่อนนั้น ผู้รับจำนองยังชอบที่จะเรียกเอาทรัพย์จำนองหลุดได้ภายในบังคับแห่งเงื่อนไขดังจะกล่าวต่อไปนี้
(1) ลูกหนี้ได้ขาดส่งดอกเบี้ยมาแล้วเป็นเวลาถึงห้าปี
(2) ผู้จำนองมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าราคาทรัพย์สินนั้นท่วมจำนวนเงินอันค้างชำระและ
(3) ไม่มีการจำนองรายอื่น หรือบุริมสิทธิอื่นได้จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้เอง
มาตรา 734 ถ้าจำนองทรัพย์สินหลายสิ่งเพื่อประกันหนี้แต่รายหนึ่งรายเดียวและมิได้ระบุลำดับไว้ไซร้ ท่านว่าผู้รับจำนำจะใช้สิทธิของตนบังคับแก่ทรัพย์สินนั้นๆ ทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วนก็ได้ แต่ท่านห้ามมิให้ทำเช่นนั้นแก่ทรัพย์สินมากสิ่งกว่าที่จำเป็นเพื่อใช้หนี้ตามสิทธิแห่งตน
ถ้าผู้รับจำนองใช้สิทธิของตนบังคับแก่ทรัพย์สินทั้งหมดพร้อมกัน ท่านให้แบ่งภาระแห่งหนี้นั้นกระจายไปตามส่วนราคาแห่งทรัพย์สินนั้นๆ
วินิจฉัย
นาย ข ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนอง สามารถที่จะบังคับจำนองได้โดยการขายทอดตลาดตามมาตรา 728 หรือฟ้องเอาจำนองหลุดตามมาตรา 729
ตามมาตรา 728 ผู้รับจำนองสามารถที่จะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองทั้งหมดได้ ตามมาตรา 734 วรรคแรก และเมื่อผู้รับจำนองใช้สิทธิของตนบังคับแก่ทรัพย์สินทั้งหมดพร้อมกัน ก็จะต้องเฉลี่ยความรับผิดไปตามส่วนราคาแห่งทรัพย์สินนั้นๆ ตามมาตรา 734 วรรคสอง ดังนั้น นาย A ต้องรับผิด 10,000 บาท นาย B รับผิด 20,000 บาท และนาย C รับผิด 30,000 บาท
สรุป นาย A รับผิด 10,000 บาท นาย B รับผิด 20,000 บาท และนาย C รับผิด 30,000 บาท
ข้อ 3 นาย ก กู้เงินนาย ข เป็นจำนวนเงิน 12,000 บาท โดยมีนาย ค มอบสร้อยคอจำนำไว้เป็นประกัน หนี้การกู้ยืมเงินและจำนำกันครั้งนี้ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมหรือจำนำเป็นหนังสือ ต่อมาหนี้ถึงกำหนดชำระปรากฏว่านาย ก ผิดนัด และนาย ข มีหนังสือทวงถามให้นาย ก และนาย ค ชำระหนี้ แต่บุคคลทั้งสองไม่ชำระหนี้ นาย ข จึงนำสร้อยคอที่รับจำนำไว้ไปขายทอดตลาดได้เงินสุทธิ 8,000 บาท ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า นาย ข จะฟ้องเรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่ 4,000 บาท จากนาย ก ลูกหนี้ และนาย ค ผู้รับจำนำได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 653 วรรคแรก การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
มาตรา 767 เมื่อบังคับจำนำได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใด ท่านว่าผู้รับจำนำต้องจัดสรรชำระหนี้และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จำนำ หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น
ถ้าได้เงินน้อยกว่าจำนวนค้างชำระ ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า สัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นหนี้ประธานสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่ากรณีตามอุทาหรณ์เป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท ซึ่งกฎหมายมิได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด เพียงแต่หากไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ ดังนั้นสัญญากู้ยืมเงินระหว่างนาย ก และนาย ข สมบูรณ์ตามกฎหมาย แต่จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ ตามมาตรา 653 วรรคแรก
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมาคือ การจำนำสร้อยคอของนาย ค สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าการจำนำตามมาตรา 747 ย่อมสมบูรณ์เพียงส่งมอบทรัพย์ที่จำนำ ซึ่งกฎหมายมิได้บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด ดังนั้นการจำนำดังกล่าวจึงสมบูรณ์ มีผลตามกฎหมาย เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ผู้รับจำนำสามารถบังคับจำนำโดยการเอาทรัพย์สินที่จำนำออกขายทอดตลาดได้
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า นาย ข จะฟ้องรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่ 4,000 บาท จากนาย ก ลูกหนี้ และนาย ค ผู้จำนำได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อบังคับจำนำแล้วได้เงินน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่ค้างชำระลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่ตามมาตรา 767 วรรคสอง หากหนี้ประธานสมบูรณ์ฟ้องร้องตามกฎหมายได้ แต่ตามปัญหาหนี้ประธานคือ หนี้กู้ยืม ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ ตามมาตรา 653 วรรคแรก ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายไม่ได้ นาย ข จึงฟ้องเรียกเงินที่ยังขาดอยู่ 4,000 บาท ไม่ได้
ส่วนนาย ค ก็ไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่ยังขาดอยู่ เพราะนาย ค เป็นแต่เพียงผู้เอาทรัพย์มาประกันการชำระหนี้เท่านั้น มิได้เป็นลูกหนี้ ทั้งนี้กฎหมายมาตรา 767 วรรคสองกำหนดให้ลูกหนี้เท่านั้นที่จะต้องรับผิดในหนี้ที่ยังขาดอยู่ เมื่อมีการบังคับจำนำแล้ว จำนำย่อมระงับสิ้นไป นาย ข จึงฟ้องเรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่ 4,000 บาท จากนาย ค ผู้จำนำไม่ได้
สรุป นาย ข จะฟ้องเรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่ 4,000 บาท จากนาย ก และนาย ค ไม่ได้