การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2548
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 ไก่กู้เงินสิน 50,000 บาท โดยมีเป็ดเป็นผู้ค้ำประกันโดยที่สินผู้ให้กู้ผู้เดียวมิได้มีการลงลายมือชื่อในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน ต่อมาไก่ผิดนัดการชำระหนี้ สินจึงฟ้องไก่และเป็ดให้ร่วมกันรับผิดตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน ทั้งไก่และเป็ดต่างอ้างว่าไม่ต้องรับผิดตามสัญญาเพราะสินผู้ให้กู้มิได้มีการลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับ สินจึงมาปรึกษาท่านว่าข้ออ้างของทั้งสองคนรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 680 อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น
อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่
มาตรา 686 ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น
มาตรา 653 วรรคแรก การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
วินิจฉัย
การกู้ยืมเงินนั้น กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้กำหนดบังคับว่าต้องทำสัญญากู้ยืมเงินเป็นหนังสือ เพียงแต่กำหนดว่าหากจะฟ้องร้องบังคับคดีกัน จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ ดังนั้นหากทำสัญญากู้ยืมเงินลงลายมือชื่อผู้ยืมฝ่ายเดียว สัญญากู้ยืมก็สมบูรณ์ มีผลบังคับตามมาตรา 653 วรรคแรก แม้ผู้ให้กู้ยืมจะมิได้ลงลายมือชื่อด้วยก็ตาม
เช่นเดียวกับหลักฐานทางสัญญาค้ำประกัน ตามมาตรา 680 วรรคสอง ก็กำหนดเพียงว่าต้องมีลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญเท่านั้น
ดังนั้น กรณีตามอุทาหรณ์ ทั้งการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันต่างก็มีลายมือชื่อผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน จึงเป็นสัญญาที่ถูกต้องสมบูรณ์มีผลบังคับตามกฎหมาย เมื่อไก่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดชำระหนี้ ไก่ผู้กู้ยืมและเป็ดผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมรับผิดตามสัญญา ตามมาตรา 686
ข้ออ้างของไก่และเป็ดที่ว่าไม่ต้องรับผิดตามสัญญา เพราะสินผู้ให้กู้ยืมได้ลงลายมือชื่อในสัญญาทั้งสองฉบับจึงรับฟังไม่ได้
สรุป ข้ออ้างของไก่และเป็ดรับฟังไม่ได้
ข้อ 2 นายส้มจุกกับนางส้มโอ เป็นสามีภริยากันถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมานายส้มจุกเอาเงินครอบครัวมาซื้อที่ดินและได้ใส่ชื่อของตนโดยไม่ยอมใส่ชื่อภริยาในโฉนดด้วย ภายหลังนายส้มจุกมีภริยาน้อยจึงไปยืมเงินนางส้มเขียวหวาน (ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของนางส้มโอ) เป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมนำโฉนดฉบับดังกล่าวมาจำนองโดยจดทะเบียนตามกฎหมาย ดังนี้นางส้มโอภริยาจะร้องต่อศาลโยอ้างว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินครึ่งหนึ่ง ขอให้ศาลเพิกถอนการจำนองดังกล่าวได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 702 อันว่าจำนองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง
ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่
วินิจฉัย
การที่สามีภริยาได้ทรัพย์สินมาในระหว่างสมรส ย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าให้ถือเป็นสินสมรส (มาตรา 1474) ฉะนั้นทั้งส้มจุกและส้มโอจะมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินแปลงดังกล่าว แต่ในกรณีนี้ สามีได้นำชื่อของตนไปเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว และภายหลังได้นำมาจำนองกับเพื่อนสนิทของภริยา จึงถือว่าเพื่อนภริยาต้องรู้หรือควรรู้ได้ว่าที่ดินดังกล่าว จะต้องมีกรรมสิทธิ์ร่วม หรือเป็นสินสมรสนั่นเอง ฉะนั้นกฎหมายจึงไม่คุ้มครองผู้รับจำนองที่ไม่สุจริต (กฎหมายจะปกป้องผู้สุจริตและเสียค่าตอบแทน) ดังนั้นการจำนองครั้งนี้จึงไม่สมบูรณ์ ตามมาตรา 702
สรุป การจำนองไม่สมบูรณ์ นางส้มโอสามารถร้องต่อศาลให้เพิกถอนการจำนองดังกล่าวได้
ข้อ 3 นายเอกทำสัญญากู้เงินนายโทเป็นเงิน 3 แสนบาท โดยตกลงให้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ปีละ 1 แสนบาท ซึ่งเกินกว่าร้อยละ 15 บาทต่อปีตามกฎหมาย ซึ่งในการกู้ครั้งนี้นายตรีได้มอบชุดเครื่องเพชรไว้เป็นประกันการชำระหนี้นายเอก ปรากฏว่าต่อมานายเอกผิดนัดไม่ชำระหนี้ นายโทจึงบอกกล่าวบังคับจำนำตามกฎหมาย แต่นายโทก็ยังไม่ได้รับการชำระหนี้ นายโทจึงนำชุดเครื่องเพชรออกขายทอดตลาดทันทีโดยไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อให้ศาลมีคำสั่งนำชุดเครื่องเพชรออกขายทอดตลาดก่อน เมื่อนายโทขายทอดตลาดได้เงินมาจึงนำเงินที่ได้มาชำระหนี้เงินต้น 3 แสนบาท พร้อมกับนำไปชำระหนี้ดอกเบี้ย 1 แสนบาทด้วย ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าการบังคับจำนำชุดเครื่องเพชรชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และนายโทจะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 747 อันว่าจำนำนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับจำนำ เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้
มาตรา 764 เมื่อจะบังคับจำนำ ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น
ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด
อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย
วินิจฉัย
นายโทเจ้าหนี้ผู้รับจำนำเครื่องเพชรของนายตรีเพื่อประกันการชำระหนี้เงินกู้ของนายเอกลูกหนี้ โดยตกลงให้นายโทมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เกินกว่าร้อยละ 15 บาทต่อปีจึงถือว่าข้อตกลงในการคิดดอกเบี้ยเป็นโมฆะตามกฎหมาย การจำนำเพื่อประกันการชำระหนี้ดอกเบี้ยจึงไม่มีผลบังคับได้ แต่การจำนำประกันการชำระหนี้ในส่วนของเงินต้นยังมีผลสมบูรณ์ เพราะการจำนำมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้ประธานอันสมบูรณ์เท่านั้น ตามมาตรา 747 ดังนั้น นายโทจึงมีสิทธิบังคับจำนำเครื่องเพชรเพื่อชำระหนี้ได้แต่เฉพาะต้นเงิน 3 แสนบาทเท่านั้น ไม่มีสิทธินำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเครื่องเพชรไปชำระหนี้ในส่วนดอกเบี้ย 1 แสนบาท
ส่วนการบังคับจำนำเครื่องเพชรดำเนินการโดยชอบแล้วโดยไม่ต้องฟ้องบังคับจำนำเพื่อให้ศาลมีคำสั่งนำเครื่องเพชรออกขายทอดตลาดก่อน เพราะการบังคับจำนำไม่ต้องฟ้องเป็นคดีต่อศาล ต่างจากการบังคับจำนองต้องฟ้องเป็นคดีก่อน ตามมาตรา 764 ดังนั้น การที่นายโทนำเครื่องเพชรทรัพย์จำนำออกขายทอดตลาดโดยไม่ได้ฟ้องเป็นคดีก่อนจึงชอบด้วยกฎหมาย
สรุป การบังคับจำนำเครื่องเพชรโดยไม่ได้ฟ้องเป็นคดีก่อนนำทรัพย์ออกขายทอดตลาดจึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 764 แต่นายโทไม่มีสิทธินำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเครื่องเพชรไปชำระหนี้ดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะได้เพราะหนี้ประธานในส่วนของดอกเบี้ยเงินกู้ไม่สมบูรณ์ ตามมาตรา 747