การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2010 (LA 210),(LW 302)
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายอรรถทำสัญญากู้เงินนายอิงค์ เป็นเงิน 3,000,000 บาท โดยนายอ่ำได้ส่งมอบเครื่องเพชรมูลค่า 2,000,000 บาท ให้นายอิงค์ไว้เป็นประกันการกู้เงินของนายอรรถ ต่อมาอีก 3 วัน นายอุ๊ได้ทำหลักฐานสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้ส่งมอบให้นายอิงค์ไว้อีกฉบับหนึ่งโดยที่นายอรรถไม่ทราบ หลังจากที่นายอุ๊ได้ทำสัญญาค้ำประกันแล้ว นายอรรถได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า 3 ล้านบาท ไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ของตนด้วย หากต่อมาปรากฏว่าก่อนหนี้เงินกู้จะถึงกำหนดนายอิงค์ได้ปลดจำนองให้นายอรรถไป โดยเห็นว่าหนี้เงินกู้ของนายอรรถมีหลักประกันเพียงพอแล้ว ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า
1 ถ้าหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระและนายอรรถผิดนัด นายอิงค์มาเรียกร้องให้นายอุ๊รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน นายอุ๊จะเกี่ยงให้นายอิงค์ไปบังคับจำนำเครื่องเพชรของนายอ่ำที่นำมาจำนำ และให้ไปบังคับจำนองที่ดินที่นายอรรถนำมาจำนองเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินของนายอรรถเสียก่อน แล้วจึงมาเรียกร้องให้ตนรับผิดจะกระทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
2 ถ้านายอรรถผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้ นายอุ๊จะอ้างเหตุที่นายอิงค์ทำการปลดจำนองที่ดินที่นายอรรถนำมาจำนอง เพื่อขอหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 680 อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น
อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่
มาตรา 686 ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น
มาตรา 690 ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน
มาตรา 697 ถ้าเพราะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของเจ้าหนี้เองเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิก็ดี จำนองก็ดี จำนำก็ดี และบุริมสิทธิอันได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้แต่ก่อนหรือในขณะทำสัญญาค้ำประกันเพื่อชำระหนี้นั้น ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าที่ตนต้องเสียหายเพราะการนั้น
วินิจฉัย
การที่นายอุ๊เข้าทำสัญญาค้ำประกันกู้เงินของนายอรรถให้แก่นายอิงค์โดยที่นายอรรถลูกหนี้ชั้นต้นไม่ทราบหรือไม่ยินยอม ก็ถือว่าการค้ำประกันมีผลผูกพันนายอุ๊ผู้ค้ำประกันแล้ว เพราะการค้ำประกันเป็นสัญญาที่บุคคลภายนอกเข้าแสดงเจตนาต่อเจ้าหนี้ เพื่อจะชำระหนี้เมื่อลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดไม่ชำระหนี้ประธาน ตามมาตรา 680 วรรคแรก ประกอบมาตรา 686
1 ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในประการแรก มีว่า นายอุ๊ผู้ค้ำประกันจะใช้สิทธิในการเกี่ยงตามาตรา 690 ได้หรือไม่ เห็นว่ากรณีที่จะใช้สิทธิในการเกี่ยงตามาตรา 690 ต้องเป็นกรณีที่เจ้าหนี้มีทรัพย์สินของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันวางชำระหนี้ประธาน แต่กรณีตามปัญหา นายอ่ำบุคคลภายนอกได้ส่งมอบเครื่องเพชรของตนเองเพื่อเป็นประกันการกู้เงินของนายอรรถ ดังนั้น นายอุ๊ผู้ค้ำประกันจึงไม่มีสิทธิเกี่ยงให้นายอิงค์เจ้าหนี้ไปบังคับจำนำเครื่องเพชรของนายอ่ำบุคคลภายนอกก่อนได้ เพราะมิใช่หลักประกันที่เป็นทรัพย์ของนายอรรถลูกหนี้ชั้นต้น
ส่วนกรณีที่ดินที่นายอรรถได้จำนองไว้ ก็ไม่มีอยู่ในฐานะที่หนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระแล้ว เพราะนายอิงค์เจ้าหนี้ได้ปลดจำนองให้นายอรรถผู้จำนองไปแล้วจึงทำให้การจำนองระงับ นายอิงค์เจ้าหนี้จึงมิได้มีทรัพย์สินของนายอรรถ ลูกหนี้ชั้นต้นยึดถือไว้เป็นประกันอีกต่อไป ดังนั้น นายอุ๊ผู้ค้ำประกันจึงไม่มีสิทธิเกี่ยงได้อีกต่อไปตามมาตรา 690
2 ประเด็นสุดท้ายที่ต้องวินิจฉัยมีว่า นายอุ๊จะหลุดพ้นเพราะเหตุที่นายอิงค์ทำการปลดจำนองที่ดินให้นายอรรถหรือไม่ เห็นว่าตามมาตรา 697 ตอนท้าย มีหลักว่า ถ้าเจ้าหนี้ทำให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิในหลักประกันที่เกิดขึ้นก่อนหรือขณะที่ผู้ค้ำประกันเข้าทำการค้ำประกันแล้ว ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเท่าที่ตนต้องเสียหายเพราะการนั้น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายอรรถได้จำนองที่ดินไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ ภายหลังจากที่นายอุ๊ได้เข้าค้ำประกันแล้ว แม้นายอิงค์เจ้าหนี้จะปลดจำนองให้นายอรรถเป็นเหตุให้นายอุ๊ไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิได้ก็ตาม ก็ไม่ทำให้นายอุ๊หลุดพ้นจากความรับผิด เพราะการจำนองของนายอรรถเกิดขึ้นหลังจากที่นายอุ๊เข้าทำการค้ำประกันแล้ว จึงไม่ต้องตามบทบัญญัติ มาตรา 697
สรุป
1 นายอุ๊ ผู้ค้ำประกันไม่อาจเกี่ยงให้นายอิงค์เจ้าหนี้ไปบังคับจำนำเครื่องเพชรของนายอ่ำและบังคับจำนองที่ดินของนายอรรถที่เคยจำนองไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ได้ตามมาตรา 690
2 นายอุ๊ ผู้ค้ำประกันไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดเพราะเหตุที่นายอิงค์เจ้าหนี้ทำให้นายอุ๊ไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิได้ตามมาตรา 697
ข้อ 2 นางอินนภาให้เงินนางเพ็ญจักรยืมเป็นเงิน 10,000 บาท โดยมีนายอาเจ็กจำนองที่ดินของตนเป็นประกันการยืมเงินรายนี้ตามกฎหมาย ในการยืมเงินครั้งนี้นางอินนภาเจ้าหนี้ได้ตกลงกับนางเพ็ญจักรว่าให้ชำระหนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม ครั้นเมื่อครบกำหนดเวลาดังกล่าวนางเพ็ญจักรไม่มีเงินชำระหนี้จึงโทรศัพท์มาบอกนางอินนภาเจ้าหนี้ว่าตนไม่มีเงิน หากมีเงินเมื่อไรจะรีบนำมาให้ นางอินนภารับทราบว่าลูกหนี้ไม่มีเงินจ่าย แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่ได้ฟ้อง ดังนี้ นายอาเจ็ก ผู้จำนองจะหลุดพ้น จากการจำนองหรือไม่ หากตนไม่รู้ถึงข้อตกลงทางโทรศัพท์ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ในระหว่างที่ทั้งสองตกลงกัน (นายอาเจ๊กเพิ่งมารู้ทีหลัง)
ธงคำตอบ
มาตรา 700 ถ้าค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ ณ เวลามีกำหนดแน่นอน และเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ไซร้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด
แต่ถ้าผู้ค้ำประกันได้ตกลงด้วยในการผ่อนเวลา ท่านว่าผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดไม่
มาตรา 702 อันว่าจำนองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง
ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่
มาตรา 727 ถ้าบุคคลคนเดียวจำนองทรัพย์สินแห่งตนเพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 697, 700 และ 701 ว่าด้วยค้ำประกันนั้นบังคับอนุโลมตามควร
วินิจฉัย
หลักเกณฑ์ตามมาตรา 700 ประกอบมาตรา 727 ที่กำหนดให้ผู้จำนองหลุดพ้นจากความรับผิด เพราะเหตุที่เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้ ประกอบด้วยสาระสำคัญ 3 ประการ
1 ต้องเป็นหนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอน ถ้าเป็นหนี้ไม่มีกำหนดเวลาชำระแน่นอนจะมีการผ่อนเวลาไม่ได้
2 ต้องมีการตกลงยอมผ่อนเวลาโดยชัดแจ้ง และทั้งเจ้าหนี้ต้องยินยอมด้วย
3 ถ้าผู้จำนองตกลงด้วยในการผ่อนเวลาย่อมไม่หลุดพ้น
เมื่อหนี้ระหว่างนางอินนภาและนางเพ็ญจักร์ ซึ่งเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระแน่นอนในวันที่ 31 ธันวาคม ถึงกำหนดชำระแล้ว ลูกหนี้ไม่มีเงินชำระหนี้จึงโทรศัพท์มาบอกอินนภาว่าไม่มีเงินหากมีเงินเมื่อไรจะรีบนำมาให้ โดยนางอินนภาก็รับทราบ แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่ได้ฟ้อง เช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ตามมาตรา 700 เพราะเป็นเพียงแต่ตกลงด้วยวาจาเท่านั้น ไม่ชัดแจ้ง จึงไม่ผูกพันเจ้าหนี้ ผู้จำนองจึงยังไม่หลุดพ้นจากความผิด ตามมาตรา 700 ประกอบมาตรา 727
อีกทั้งการที่เจ้าหนี้ไม่ฟ้องลูกหนี้ให้ชำระหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ ก็ไม่ใช่เป็นการขยายระยะเวลาการชำระหนี้หรือผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ แต่เป็นเพียงการปล่อยปละละเลยไม่ฟ้องเท่านั้น นายอาเจ๊กผู้จำนองจึงไม่หลุดพ้นจากการจำนอง แม้ว่านายอาเจ๊กจะไม่รู้ถึงข้อตกลงระหว่างนางอินนภาและนางเพ็ญจักรก็ตาม
สรุป นายอาเจ๊กผู้จำนองไม่หลุดพ้นจากการจำนอง
ข้อ 3 นาย ก กู้เงิน นาย ข เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท โดยนำสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท ไปจำนำไว้เป็นประกันหนี้โดยมีข้อตกลงกันว่า หากถึงกำหนดชำระหนี้ไม่มีเงินไปชำระ ให้นาย ข ผู้รับจำนำเป็นเจ้าของทรัพย์สิน คือ สร้อยคอนั้น หรือให้นาย ข จัดการแก่ทรัพย์สินที่รับจำนำเป็นประการใดก็ได้ที่นาย ข ต้องการ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามที่สัญญากู้เงินกันเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2549 มีระยะเวลา 1 ปี เมื่อครบ 1 ปี นาย ข ได้ยึดสร้อยคอนั้นเป็นของตนเสีย ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า ข้อตกลงในสัญญาฉบับนี้สมบูรณ์หรือไม่อย่างไร กรณีที่หนึ่ง
กรณีที่สอง หากสัญญาฉบับดังกล่าวนี้ นาย ก กับ นาย ข ตกลงกันเมื่อหนี้ถึงกำหนดแล้วว่า “ให้ทรัพย์สินที่จำนำเป็นของผู้รับจำนำ” หรือ “ให้ผู้รับจำนำสร้อยคอไปร้านขายทองนำเงินมาชำระหนี้โดยไม่ต้องขายทอดตลาด” ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า ข้อตกลงในสัญญาฉบับดังกล่าวนี้สมบูรณ์หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 756 การที่จะตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระเป็นข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งว่า ถ้าไม่ชำระหนี้ ให้ผู้รับจำนำเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินจำนำ หรือให้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็นประการอื่น นอกจากตามบทบัญญัติทั้งหลายว่าด้วยการบังคับจำนำนั้นไซร้ ข้อตกลงเช่นนั้น ท่านว่าไม่สมบูรณ์
มาตรา 764 เมื่อจะบังคับจำนำ ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น
ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด
อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย
วินิจฉัย
กรณีที่หนึ่ง การที่นาย ก และนาย ข ตกลงกันว่า หากถึงกำหนดชำระหนี้ ไม่มีเงินไปชำระให้นาย ข ผู้รับจำนำเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่จำนำ หรือให้นาย ข จัดการแก่ทรัพย์สินที่รับจำนำเป็นประการใดก็ได้ที่นาย ข ต้องการนั้น เป็นข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมาย ต้องห้ามตามมาตรา 756 เพราะเป็นการตกลงกันล่วงหน้าระหว่างผู้รับจำนำกับผู้จำนำ ก่อนเวลาที่หนี้ถึงกำหนดชำระ ข้อตกลงเช่นนี้จึงไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะ
กรณีที่สอง หากนาย ก กับนาย ข ตกลงกันเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วว่า “ให้ทรัพย์สินที่จำนำเป็นของผู้รับจำนำ” หรือ “ให้ผู้รับจำนำสร้อยคอไปขายร้านทองนำเงินมาชำระหนี้โดยไม่ต้องขายทอดตลาด” กล่าวคือ ไม่ต้องขายทอดตลาดตามมาตรา 764 วรรคสอง ย่อมสามารถกระทำได้ เป็นข้อตกลงที่ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 756 เพราะเป็นข้อตกลงกันภายหลังที่หนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และถือเป็นข้อตกลงที่สมบูรณ์ใช้บังคับได้
สรุป
กรณีที่หนึ่ง ข้อตกลงไม่สมบูรณ์ เป็นโมฆะ
กรณีที่สอง ข้อตกลงสมบูรณ์ ใช้บังคับได้