การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

Advertisement

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายรัตภูมิเจ้าของเหมืองแร่ต้องการขยายกิจการจึงไปขอกู้เงินจากนายสิงหนครจำนวน  20  ล้านบาท  มีหลักฐานการกู้เงินถูกต้องพร้อมกับนำที่ดิน  1  แปลง  จดทะเบียนจำนองกับนายสิงหนคร  ต่อมากิจการเหมืองแร่เริ่มขาดทุนนายรัตภูมิเกรงว่านายสิงหนครจะไม่เชื่อใจ  จึงไปขอร้อง  น.ส.ระโนด  ซึ่งเป็นคนรักให้ช่วยเป็นผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้  20  ล้านบาทนี้ด้วย  น.ส.ระโนดจึงตกลงกับนายรัตภูมิ  โดยทำหลักฐานเป็นหนังสือมีใจความว่า  หากนายรัตภูมิไม่สามารถชำระหนี้ได้  น.ส.ระโนดจะเป็นผู้ชำระหนี้แทน  พร้อมกับลงลายมือชื่อทั้งนายรัตภูมิและ  น.ส.ระโนด  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  นายรัตภูมิไม่สามารถชำระหนี้ได้  น.ส.ระโนดจึงมาปรึกษาท่านว่า  สัญญาที่ตนเองทำกับนายรัตภูมิเป็นสัญญาค้ำประกันตามกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

การจะพิจารณาว่าสัญญาที่ทำนั้นเป็นสัญญาค้ำประกัน  ตามมาตรา  680  หรือไม่  มีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

1       ผู้ค้ำประกันเป็นบุคคลภายนอกสัญญาประธานหรือหนี้ประธาน

2       ต้องมีหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้  (หนี้ในทางแพ่ง)

3       บุคคลภายนอกผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

สำหรับหลักเกณฑ์ประการที่  3  นี้หมายถึง  บุคคลภายนอกสัญญาประธานหรือหนี้ประธาน  ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเข้าทำสัญญาผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ในสัญญาประธานหรือหนี้ประธานเพื่อเข้าชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ชั้นต้นตามสัญญาประธานหรือหนี้ประธานไม่ชำระหนี้นั้น  ทั้งนี้โดยไม่คำนึงว่าลูกหนี้ชั้นต้นจะรู้เห็นยินยอมหรือไม่ก็ตาม  ดังนั้นสัญญาค้ำประกัน  จึงเป็นสัญญาที่บุคคลภายนอกเข้าทำสัญญาผูกพันตนโดยตรงกับเจ้าหนี้เท่านั้น  ถ้าไปทำสัญญากับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้  สัญญานั้นไม่ใช่สัญญาค้ำประกัน

กรณีตามอุทาหรณ์  หนี้ประธาน  คือ  หนี้เงินกู้จำนวน  20  ล้านบาท  มีนายสิงหนครเป็นเจ้าหนี้  และนายรัตภูมิเป็นลูกหนี้  ดังนั้นการที่ น.ส.ระโนดบุคคลภายนอกตกลงกับนายรัตภูมิลูกหนี้ว่า  หากนายรัตภูมิไม่สามารถชำระหนี้ได้  น.ส.ระโนดจะเป็นผู้ชำระหนี้แทน  ลงลายมือชื่อทั้งนายรัตภูมิและ  น.ส.ระโนดนั้น  แม้จะได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อระโนดเป็นสำคัญก็ตาม  แต่เมื่อ  น.ส.ระโนด บุคคลภายนอกเข้าทำสัญญาผูกพันตนกับลูกหนี้  มิใช่เจ้าหนี้ตามมูลหนี้ประธาน  สัญญาที่ทำนั้นย่อมไม่ถือว่าเป็นสัญญาค้ำประกัน  ตามมาตรา  680  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  สัญญาที่ทำกันระหว่างนายรัตภูมิและ  น.ส.ระโนด  ก็ถือเป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่ใช้บังคับระหว่างคู่กรณีได้ตามกฎหมาย  (ฎ. 489/2537)

สรุป  สัญญาระหว่างนายรัตภูมิและ  น.ส.ระโนดไม่เป็นสัญญาค้ำประกัน  ตามมาตรา  680

 

ข้อ  2  น.ส.มะลิ  กู้เงินนายสะตอจำนวน  5  ล้านบาท  โดยมีหลักฐานการกู้เงินถูกต้อง  และมีนายมะละกอนำที่ดินราคา  10  ล้านบาท  มาให้นายสะตอจดทะเบียนจำนองไว้เป็นประกันการกู้เงิน  โดยมีข้อสัญญาว่า  ขอให้ชำระหนี้เป็นจำนวน  10  งวด  แต่ขาดส่งงวดใด  ที่ดินที่นำมาจดทะเบียนตกเป็นสิทธิของนายสะตอทันที  อยากทราบว่า  นายมะละกอจะนำที่ดินของตนเองมาจำนองแทน  น.ส.มะลิได้หรือไม่ และข้อสัญญาที่ทำไว้มีผลบังคับตามกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนอง  เป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  709  บุคคลคนหนึ่งจะจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  ก็ให้ทำได้

มาตรา  711  การที่จะตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระเป็นข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  ถ้าไม่ชำระหนี้  ให้ผู้รับจำนองเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งจำนอง  หรือว่าได้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็นประการอื่นอย่างใดนอกจากตามบทบัญญัติทั้งหลายว่าด้วยการบังคับจำนองนั้นไซร้  ข้อตกลงเช่นนั้นท่านว่าไม่สมบูรณ์

มาตรา  713  ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาจำนอง  ท่านว่าผู้จำนองจะชำระหนี้ล้างจำนองเป็นงวดๆก็ได้

วินิจฉัย

สัญญาจำนองนั้น  เป็นสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้รับจำนอง  เป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  นายมะละกอจะนำที่ดินของตนมาจำนองแทน  น.ส.มะลิได้หรือไม่  เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา  709  ให้สิทธิบุคคลคนหนึ่งจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระได้  ดังนั้นแม้นายมะละกอจะเป็นบุคคลภายนอก  มิใช่ลูกหนี้  ก็มีสิทธินำที่ดินของตนมาจดทะเบียนจำนองประกันหนี้เงินกู้แทน  น.ส.มะลิลูกหนี้ได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  ข้อสัญญาระหว่างนายมะละกอและนายสะตอที่ว่าขอให้ชำระหนี้เป็นจำนวน  10  งวด  แต่ขาดส่งงวดใด  ที่ดินที่นำมาจดทะเบียนตกเป็นสิทธิของนายสะตอทันทีนั้น  มีผลใช้บังคับตามกฎหมายได้หรือไม่  เห็นว่า  แม้มาตรา  713  จะบัญญัติให้ผู้จำนองจะชำระหนี้ล้างจำนองเป็นงวดๆได้  ถ้าไม่มีข้อตกลงห้ามเป็นอย่างอื่นก็ตาม  แต่การจะตกลงก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระว่า  ขาดส่งงวดใด  ให้ที่ดินที่นำมาจดทะเบียนจำนองตกเป็นสิทธิของนายสะตอเจ้าหนี้ทันที  ซึ่งเป็นการตกลงจัดการทรัพย์สินเป็นประการอื่นนอกจากบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับจำนองนั้น  ไม่อาจกระทำได้  ต้องห้ามตามมาตรา  711  หากมีการฝ่าฝืน  ข้อสัญญานั้นไม่สมบูรณ์  ไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย  แต่ในส่วนสัญญาจำนองยังคงสมบูรณ์  ไม่เสียไป  เพียงแต่หาก  น.ส.มะลิผิดนัดไม่ชำระหนี้  นายสะตอจะนำข้อสัญญานั้นมาฟ้องร้องให้บังคับคดีตามข้อตกลงนั้นไม่ได้

สรุป  นายมะละกอนำที่ดินของตนมาจำนองแทน  น.ส.มะลิได้  และข้อสัญญาที่ทำไว้นั้นไม่สมบูรณ์  ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย

 

ข้อ  3  นายแกงขอกู้เงินจากนายขนมจีน  จำนวน  2,000  บาท  โดยมิได้ทำหลักฐานการกู้ยืมแต่ประการใด  นายแกงจึงนำทองรูปพรรณแต่เป็นของเทียมซึ่งมีราคาเพียง  600  บาท  มาส่งมอบให้นายขนมจีนเป็นการจำนำ  โดยที่นายแกงไม่รู้ว่าทองนั้นเป็นของปลอม  อยากทราบว่า  การจำนำที่นายแกงกระทำดังกล่าวเป็นการจำนำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่  และมีผลตามกำหมายหรือไม่  จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น   คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนำ  ส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  สัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายแกงและนายขนมจีนมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  แม้มิได้ทำหลักฐานแห่งการกู้ยืม  ตามมาตรา  653  วรรคแรกก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้  เพราะกรณีนี้เป็นการกู้ยืมเงินกันไม่เกิน  2,000  บาท  ไม่อยู่ในบังคับของบทบัญญัติมาตรา  653  วรรคแรก

สำหรับสัญญาจำนำ  เป็นสัญญาระหว่างผู้จำนำตกลงกับเจ้าหนี้  โดยส่งมอบสังหาริมทรัพย์เพื่อประกันการชำระหนี้ไว้กับเจ้าหนี้  ซึ่งผู้จำนำจะเป็นตัวลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกก็ได้  แต่บุคคลผู้เข้าทำสัญญาจำนำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินจึงจะเข้าทำสัญญาจำนำได้  นอกจากนี้สัญญาจำนำไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกับสัญญาจำนอง  สัญญาจำนำนั้นย่อมสมบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินจำนำ  และทรัพย์สินที่จะนำมาจำนำได้ก็ต้องเป็นสังหาริมทรัพย์เท่านั้น

เมื่อข้อเท็จจริงในกรณีนี้ปรากฏว่า  นายแกงลูกหนี้นำทองรูปพรรณซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์และตนเองเป็นเจ้าของมาส่งมอบให้นายขนมจีนเจ้าหนี้เป็นการจำนำประกันการชำระหนี้  สัญญาจำนำย่อมเกิดขึ้นแล้ว  ตามมาตรา  747  แม้นายขนมจีนจะไม่รู้ว่าเป็นของปลอม  สัญญาจำนำดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์บังคับกันได้ตามกฎหมาย  ส่วนกรณีทรัพย์สินที่นำมาจำนำเป็นของปลอม  แล้วจะเรียกให้ลูกหนี้นำทรัพย์สินซึ่งเป็นของแท้มาแทนได้หรือไม่  ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก  เป็นคนละเรื่องกับความสมบูรณ์หรือการเกิดมีขึ้นของสัญญาจำนำ

สรุป  การกระทำของนายแกงเป็นการจำนำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  และมีผลสมบูรณ์บังคับกันได้ตามกฎหมาย 

Advertisement