การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2547
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายใหญ่ให้นายเล็กยืมใช้รถยนต์มีกำหนด 1 ปี เมื่อนายเล็กใช้รถไปได้หกเดือน ปรากฏว่ารถชำรุดทรุดโทรมมาก เพราะนายเล็กปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษารถยนต์เหมือนคนทั่วไป นายใหญ่เห็นว่า ถ้าขืนปล่อยให้นายเล็กใช้ต่อไปจนครบกำหนด 1 ปี รถยนต์อาจจะเสียหายมาก นายใหญ่จึงมาปรึกษาท่าน ให้ท่านแนะนำนายใหญ่ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร จงอธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบ
ธงคำตอบ
มาตรา 644 ผู้ยืมจำต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง
มาตรา 645 ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืนต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้
วินิจฉัย
นายใหญ่ให้นายเล็กยืมรถยนต์ใช้มีกำหนด 1 ปี เมื่อนายเล็กใช้รถได้หกเดือน ปรากฏว่ารถชำรุดทรุดโทรมมาก เพราะนายเล็กปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษารถยนต์เหมือนคนทั่วไป ดังนี้ นายเล็กทำผิดหน้าที่ผู้ยืมในการสงวนรักษาทรัพย์สิน เนื่องจากปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษารถยนต์เหมือนวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง ตามที่บัญญัติในมาตรา 644 ดังนั้น ข้าพเจ้าจะแนะนำนายใหญ่ให้เลือกวิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้
1 บอกเลิกสัญญา และเรียกเอาทรัพย์สินนั้นคืนมา โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดเวลาในสัญญายืมตามมาตรา 645
2 ให้นายเล็กทำการดูแลรักษารถยนต์ตามหน้าที่ที่บัญญัติในมาตรา 644 และหากการละเลยของนายเล็กก่อให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ที่ยืมมาก็ไม่ตัดสิทธินายใหญ่ที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 213 วรรคท้าย
ข้อ 2 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง บัญญัติว่า ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง คำว่า การใช้เงิน ในที่นี่หมายความว่าอย่างไร
นายเอกยืมเงินนายโทมา 10,000 บาท ต่อมาโทฟ้องเอกขอเรียกเงินยืมคืน ดังนี้ เอกจะต่อสู้ว่าได้โอนรถจักรยานยนต์ชำระหนี้แทนเงินไปแล้ว โดยขอนำสืบพยานบุคคลคือนายตรี ผู้อยู่ด้วยขณะที่นำรถจักรยานยนต์มามอบให้ จะได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
คำว่า การใช้เงิน ตามมาตรา 653 วรรคสอง จะเกิดขึ้นต่อเมื่อการกู้ยืมเงินนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือตามบทบังคับของกฎหมายการใช้เงินจึงต้องมีหลักฐานการใช้เงิน จึงจะนำสืบต่อศาลว่าได้มีการใช้เงินกันแล้ว
ฉะนั้น การใช้เงินตามนัยมาตรา 653 วรรคสอง หมายความถึง การใช้เงินต้นเท่านั้นไม่รวมถึงดอกเบี้ย กล่าวคือ เป็นการนำเงินสดที่สามารถชำระหนี้ตามกฎหมายมาชำระหนี้เงินต้นเท่านั้น หากเป็นการใช้เงินต้นด้วยวิธีอื่น เช่น ชำระหนี้ด้วยบัตรเครดิต เช็ค หรือชำระหนี้ด้วยสร้อยเพชร ก็ไม่จำต้องมีหลักฐานการใช้เงิน สามารถนำสืบพยานบุคคลว่าได้มีการใช้เงินต้นกันแล้วได้ เช่นเดียวกันหากการกู้ยืมเงินกันมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่การใช้เงินต้นคืนไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งผู้กู้ก็ได้ชำระคืนไปแล้ว เช่นนี้ ผู้กู้จำต้องชำระเงินคืนให้ผู้ให้กู้ อีกครั้งหนึ่ง จะนำพยานบุคคลมานำสืบการใช้เงินไม่ได้
อนึ่งการใช้ดอกเบี้ยคืน ก็หามีบทบัญญัติให้ต้องมีหลักฐานการใช้คืนดอกเบี้ยแต่อย่างใด สามารถนำพยานบุคคลมาสืบการใช้คืนดอกเบี้ยได้ (ฎ. 243/2503, 1051/2503)
วินิจฉัย
นายเอกยืมเงินนายโท 10,000 บาท และถูกนายโทฟ้องเรียกเงินคืน นายเอกต่อสู้ว่าได้โอนรถจักรยานยนต์ชำระหนี้แทนเงิน โดยขอนำสืบพยานบุคคลผู้อยู่ด้วยขณะชำระหนี้คือนายตรี กรณีนี้เอกสามารถขอนำสืบพยานบุคคลได้ เพราะเอกมิได้นำสืบการใช้เงินต้นจึงไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงต่อศาลตามมาตรา 653 วรรคสอง แต่อย่างใด
สรุป นายเอกนำพยานบุคคลมานำสืบได้
ข้อ 3 นายแดงฝากเงินไว้กับนายดำ จำนวน 1 แสนบาท มีกำหนดเวลา 2 ปี ต่อมา 3 เดือน นายแดงตาย ดังนี้ เขียวซึ่งเป็นทายาทของนายแดงจะขอเรียกเงินคืนจากดำทันทีไม่รอให้ครบ 2 ปี ดังนี้ เขียวมีสิทธิทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 665 ผู้รับฝากจำต้องคืนทรัพย์สินซึ่งรับฝากไว้นั้นให้แก่ผู้ฝาก หรือทรัพย์สินนั้นฝากในนามของผู้ใดคืนให้แก่ผู้นั้น หรือผู้รับฝากได้รับคำสั่งโดยชอบให้คืนทรัพย์สินนั้นไปแก่ผู้ใดคืนให้แก่ผู้นั้น
แต่หากผู้ฝากทรัพย์ตาย ท่านให้คืนทรัพย์สินนั้นให้แก่ทายาท
มาตรา 672 ถ้าฝากเงิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝาก แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน
อนึ่ง ผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ แต่หากจำต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็จำต้องคืนเงินเป็นจำนวนดังว่านั้น
มาตรา 673 เมื่อใดควรรับฝากจำต้องคืนเงินแต่เพียงเท่าจำนวนที่ฝาก ผู้ฝากจะเรียกถอนเงินคืนก่อนถึงเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ไม่ได้ หรือฝ่ายผู้รับฝากจะส่งคืนเงินก่อนถึงกำหนดเวลานั้นก็ไม่ได้ดุจกัน
วินิจฉัย
โดยหลักแล้วผู้รับฝากจะต้องคืนทรัพย์สินที่รับฝากไว้ให้แก่ผู้รับฝาก ผู้รับฝากจะไม่คืนให้แก่ผู้รับฝากโดยตรงก็มีอยู่เพียง 3 กรณีเท่านั้น คือ
1 คืนให้แก่บุคคลที่ผู้ฝากได้ฝากทรัพย์สินแทน เช่น นาย ก เป็นบิดาของนาย ข ซึ่งนาย ก เอาทรัพย์สินมีค่าของนาย ข ไปฝากไว้กับนาย ค โดยฝากในนามของนาย ข (ฝากแทนนาย ข) ดังนี้ นาย ค ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่รับฝากไว้คืนให้แก่นาย ข
2 คืนให้แก่บุคคลที่มีคำสั่งโดยชอบระบุให้คืน เช่น ผู้ฝากอาจจะมีคำสั่งมายังผู้รับฝากให้คืนทรัพย์สินแก่บุคคลใด ผู้รับฝากก็ต้องคืนให้บุคคลที่ระบุในคำสั่งนั้น
3 คืนให้กับทายาทของผู้ฝากในกรณีที่ผู้ฝากตาย
นายดำมีหน้าที่ต้องคืนเงินที่รับฝากแก่ทายาทของนายแดงทันที โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดเวลา ทั้งนี้ตามนัยมาตรา 665 วรรคท้ายกำหนดว่า “ในกรณีที่ผู้ฝากทรัพย์ตาย ท่านให้คืนทรัพย์สินที่รับฝากนั้นแก่ทายาทของผู้ฝาก”
แม้บทบัญญัติมาตรา 673 จะกำหนดว่า “เมื่อใดรับฝากจำต้องคืนเงินแต่เพียงเท่าจำนวนที่ฝาก ผู้ฝากจะเรียกถอนเงินคืนก่อนถึงเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ไม่ได้ หรือฝ่ายผู้รับฝากจะส่งคืนเงินก่อนถึงเวลานั้นก็ไม่ได้ดุจกัน” แต่ก็ไม่สามารถอ้างบทบัญญัติดังกล่าวมายันทายาทของนายแดงได้ ต้องตีความตามมาตรา 665 วรรคท้าย โดยเคร่งครัด (ฎ. 80/2511)
อย่างไรก็ตาม การคืนเงินที่รับฝาก ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกับที่ฝากแต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน
สรุป เขียวทายาทของแดง มีสิทธิขอคืนเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดเวลา