การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2548
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 หน้าที่และความรับผิดของผู้ยืมในกรณีใช้สอยทรัพย์สินไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 643 มีอย่างไรบ้าง ให้อธิบายหลักกฎหมายประกอบ
ธงคำตอบ
มาตรา 643 ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั่นเอง
สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง คือ ผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่งคือผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า โยไม่มีค่าตอบแทนใดๆ และผู้ยืมก็ตกลงว่าเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว ก็จะนำทรัพย์สินนั้นมาคืนให้ ดังนี้จะเห็นว่าผู้ยืมเป็นผู้ได้รับประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว กล่าวคือ ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ยืมและยังไม่ต้องเสียค่าตอบแทนอีกด้วย แต่การใช้ทรัพย์สินที่ยืมผู้อื่นเขามามิได้หมายความว่า จะใช้เอาประโยชน์ของตนตามอำเภอใจโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินของผู้ให้ยืมนั้น
จากบทบัญญัติตามมาตรา 643 ดังกล่าวข้างต้นได้กำหนดหน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูปไว้ 4 ประการ คือ ใช้ทรัพย์สินที่ยืมตามการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น ไม่เอาไปใช้นอกจากการอันปรากฏในสัญญา ไม่เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือไม่เอาไปไว้นายกว่าที่ควรจะเอาไว้ และยังกำหนดอีกว่า ผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุที่ทรัพย์สินที่ยืมเกิดความสูญหายหรือบุบสลาย ถึงแม้จะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ก็ต่อเมื่อปรากฏข้อเท็จว่าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมแล้ว หากความเสียหายที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากการที่ผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืม ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิด
สำหรับกรณีที่จะถือว่าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืม ตามมาตรา 643 มีดังนี้คือ
1 เอาทรัพย์สินที่ยืมไปใช้อย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์นั้น เช่น ขอยืมใบมีดโกนเขามาแทนที่จะโกนหนวดโกนเครา กลับเอาไปเหลาดินสอหรือหั่นเนื้อหั่นหมู หรือยืมม้าแทนที่จะเอาไปขี่กลับเอาไปลากรถ ลากซุง เป็นต้น
2 เอาทรัพย์สินที่ยืมไปใช้อย่างอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา เช่น ขอยืมรถไปทำงานในกรุงเทพฯ แต่กลับขัยรถออกไปนอกเส้นทางไปเที่ยวชลบุรี เป็นต้น
3 เอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยแล้วเกิดความเสียหาย เช่น ขอยืมวัวไปไถนา 2 เดือน ผู้ยืมใช้สอยเสร็จแล้วภายใน 1 เดือน แต่ไม่ส่งคืน กลับเอาไปให้บุคคลใช้สอยจนเกิดความเสียหายขึ้น เช่นนี้ถือว่าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมแล้ว
4 เอาทรัพย์สินที่ยืมไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ กล่าวคือ เป็นการที่ผู้ยืมส่งคืนทรัพย์ที่ยืมล่าช้า เช่น ขอยืมรถมาใช้ 3 วัน เมื่อครบกำหนดแล้วยังไม่เอามาคืน หรือในกรณีที่สัญญามิได้กำหนดเวลาส่งคืน แต่ไม่ปรากฏว่ายืมเพื่อการใด หากผู้ยืมใช้สอยเสร็จแล้ว หรือเวลาล่วงเลยไปพอแก่การใช้ทรัพย์สินนั้นแล้วก็ยังไม่ส่งคืน เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้ยืมก็ต้องรับความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ แม้ความเสียหายนั้นจะเกิดเพราะเหตุสุดวิสัยก็ตาม
อนึ่งคำว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า เหตุใดๆอันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดี เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควร อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและภาวะเช่นนั้น เช่น ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว น้ำท่วม ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น นาย ก. ยืมรถยนต์นาย ข. ไปท่องเที่ยวพัทยา แต่นาย ก. กลับขับรถไปนครสวรรค์เพื่อไปรับเพื่อนก่อน ในระหว่างทางนั้นมีพายุฝนตกหนัก ฟ้าผ่ารถคันที่นาย ก. ยืมไปเสียหาย เช่นนี้ ถือว่านาย ก. ประพฤติผิดหน้าที่ผู้ยืม โดยเอาทรัพย์สินที่ยืมไปใช้ในการอย่างอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญาแล้ว เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแม้เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยก็ตาม นาย ก. ก็ยังคงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่ นาย ข. ผู้ให้ยืมด้วย
สรุป ผู้ยืมใช้คงรูปมีหน้าที่และความรับผิด ในกรณีการใช้สอยทรัพย์สิน ตามมาตรา 643 ดังกล่าวข้างต้น
ข้อ 2 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง บัญญัติว่า ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง คำว่า การใช้เงิน ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร
นายเอกยืมเงินนายโทมา 10,000 บาท ต่อมาโทฟ้องเอกขอเรียกเงินยืมคืน ดังนี้ เอกจะต่อสู้ว่าได้โอนรถจักรยานยนต์ชำระหนี้แทนเงินไปแล้ว โดยขอนำสืบพยานบุคคลคือนายตรี ผู้อยู่ด้วยขณะที่นำรถจักรยานยนต์มามอบให้ จะได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
คำว่า การใช้เงิน ตามมาตรา 653 วรรคสอง จะเกิดขึ้นต่อเมื่อการกู้ยืมเงินนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือตามบทบังคับของกฎหมายการใช้เงินจึงต้องมีหลักฐานการใช้เงิน จึงจะนำสืบต่อศาลว่าได้มีการใช้เงินนั้นแล้ว
ฉะนั้น การใช้เงินตามนัยมาตรา 653 วรรคสอง หมายความถึง การใช้เงินต้นเท่านั้นไม่รวมถึงดอกเบี้ย กล่าวคือ เป็นการนำเงินสดที่สามารถชำระหนี้ตามกฎหมายมาชำระหนี้เงินต้นเท่านั้น หากเป็นการใช้เงินต้นด้วยวิธีอื่น เช่น ชำระหนี้ด้วยบัตรเครดิต เช็ค หรือชำระหนี้ด้วยสร้อยเพชร ก็ไม่จำต้องมีหลักฐานการใช้เงิน สามารถนำสืบพยานบุคคลว่าได้มีการใช้เงินต้นกันแล้วได้ เช่นเดียวกันหากการกู้ยืมเงินกันมีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่การใช้เงินต้นคืนไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งผู้กู้ก็ได้ชำระคืนไปแล้ว เช่นนี้ ผู้กู้จำต้องชำระเงินคืนให้ผู้ให้กู้อีกครั้งหนึ่ง จะนำพยานบุคคลมานำสืบการใช้เงินไม่ได้
อนึ่งการใช้ดอกเบี้ยคืน ก็หามีบทบัญญัติให้ต้องมีหลักฐานการใช้คืนดอกเบี้ยแต่อย่างใด สามารถนำพยานบุคคลมาสืบการใช้คืนดอกเบี้ยได้ (ฎ. 243/2503, 1051/2503)
วินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ นายเอกยืมเงินนายโท 10,000 บาท และถูกนายโทฟ้องเรียกเงินคืนนายเอกต่อสู้ว่าได้โอนรถจักรยานยนต์ชำระหนี้แทนเงิน โดยขอนำสืบพยานบุคคลผู้อยู่ด้วยขณะชำระหนี้คือนายตรี กรณีนี้สามารถขอนำสืบพยานบุคคลได้ เพราะเอกมิได้นำสืบการใช้เงินต้นจึงไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงต่อศาลตามมาตรา 653 วรรคสอง แต่อย่างใด
สรุป นายเอกนำพยานบุคคลมานำสืบได้
ข้อ 3 นายรุ่งเรืองเอารถยนต์ไปฝากไว้กับนายเอกโดยไม่ได้อนุญาตให้นายเอกใช้รถ และไม่ได้ตกลงเรื่องบำเหน็จกัน เมื่อนายเอกรับฝากแล้วกลับนำรถไปใช้รับจ้างเป็นรถโดยสาร วันหนึ่งผู้โดยสารรายหนึ่งจ้างนายเอกขับรถไปขึ้นศาลที่จังหวัดลพบุรี และชวนนายเอกให้ไปนั่งในห้องพิจารณาคดีด้วย นายเอกจึงจอดรถไว้ที่หน้าศาลจังหวัดลพบุรี เมื่อลงมาพบว่ารถถูกขโมยไป นายรุ่งเรืองรู้ว่ารถถูกขโมยจึงเรียกให้นายเอกชดใช้ค่าเสียหาย นายเอกปฏิเสธว่าตนรับฝากรถโดยไม่มีบำเหน็จ และได้ใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินเหมือนเช่นประพฤติปฏิบัติในกิจการของตนเองแล้วจึงไม่ต้องรับผิด เช่นนี้ ข้อต่อสู้ของนายเอกฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 659 ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการทำให้เปล่าไม่มีบำเหน็จไซร้ ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง
ถ้าการรับฝากทรัพย์นั้นมีบำเหน็จค่าฝาก ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น ทั้งนี้ย่อมรวมทั้งการใช้ฝีมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใช้ฝีมือเช่นนั้นด้วย
ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้วิชาชีพเฉพาะกิจการค้าหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น
มาตรา 660 ถ้าผู้ฝากมิได้อนุญาต และผู้รับฝากเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นออกมาใช้สอยเองหรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยหรือให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาไซร้ ท่านว่าผู้รับฝากจะต้องรับผิดเมื่อทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นสูญหายหรือบุบสลายอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ ข้อต่อสู้ของนายเอกที่ว่าตนรับฝากรถโยไม่มีบำเหน็จ และได้ใช้ความระมัดระวังสงวนรักษาทรัพย์สินเหมือนเช่นเคยประพฤติปฏิบัติในกิจการของตนเองแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดฟังขึ้นหรือไม่ เห็นว่า การที่นายเอกรับฝากรถโดยไม่มีบำเหน็จค่าฝากตามมาตรา 659 วรรคแรก ได้กำหนดหน้าที่ให้ผู้รับฝากใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินที่ตนรับฝากไว้นั้นไม่มากหรือน้อยไปกว่าการสงวนรักษาทรัพย์สินของตน กล่าวคือ นอกจากผู้รับฝากจะไม่ได้ค่าตอบแทนในการรับฝากทรัพย์สินนั้นแล้ว ผู้รับฝากยังต้องรับภาระหน้าที่ดูแลระมัดระวังทรัพย์สินที่รับฝากอีกด้วย กฎหมายกำหนดหน้าที่เท่านั้นก็นับว่าเพียงพอแล้ว ดังนั้นการที่นายเอกไปนั่งในห้องพิจารณาคดี โดยจอดรถไว้หน้าศาล จึงไม่เป็นการประพฤติผิดหน้าที่ตามมาตรา 659 ดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม แม้นายเอกจะไม่ได้ผิดหน้าที่สงวนทรัพย์สิน แต่นายเอกก็ผิดหน้าที่ตามมาตรา 660 โดยนำรถยนต์ที่รับฝากออกใช้สอยโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ฝากก่อน เมื่อทรัพย์สินที่ฝากสูญหายโดยไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า ถึงอย่างไรทรัพย์สินนั้นก็คงต้องสูญหายอยู่นั่นเอง นายเอกก็ต้องรับผิด จะเห็นได้ว่าความรับผิดชอบของผู้รับฝากตามมาตรา 660 แม้เป็นกรณีการรับฝากโดยไม่มีบำเหน็จค่าฝาก ผู้รับฝากก็คงต้องรับผิดจากผลที่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว หากนายเอกไม่นำรถยนต์ออกมาใช้สอยก่อนแล้ว การที่รถยนต์จะถูกขโมยไปอาจจะไม่เกิดมีขึ้น ดังนั้นแม้จะอ้างว่าได้สงวนทรัพย์สินเช่นที่ได้ปฏิบัติกับทรัพย์สินของตนก็คงไม่ได้ ข้อต่อสู้จึงฟังไม่ขึ้น
สรุป ข้อต่อสู้ของนายเอกฟังไม่ขึ้น