การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 ปาดังยืมรถยนต์ปิคอัพของปาเดเพื่อเอาไปใช้งานโดยแจ้งให้ปาเดทราบแล้วว่าจะนำไปดัดแปลงเป็นรถโดยสารรับจ้าง ปาเดเห็นว่าเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมกันก็ไม่ได้ถามว่าจะเอาไปใช้นานเท่าใด ปาดังนำรถยนต์ที่ยืมมาไปต่อเติมหลังคากับที่นั่งสองแถวเพื่อนำไปใช้รับคนโดยสาร หลังจากนั้นวันหนึ่งมีสาเกเพื่อนของปาดังมาหาบอกว่าตกงานไม่มีรายได้อะไร ปาดังสงสารจึงอนุญาตให้สาเกเอารถคันดังกล่าวไปขับรับคนโดยสารหารายได้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายและถ้าได้งานใหม่เมื่อใดก็ให้นำรถมาคืน ดังนี้ สัญญาระหว่างปาดังกับสาเกเป็นสัญญายืมใช้คงรูปหรือสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 640 อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว
มาตรา 650 อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น
วินิจฉัย
จากบทบัญญัติมาตรา 640 สามารถแยกองค์ประกอบของสัญญายืมใช้คงรูปได้ดังนี้
1 เป็นสัญญาซึ่งประกอบด้วยคู่กรณี 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้ยืม อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ยืม โดยแต่ละฝ่ายไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายละคนเสมอไป อาจจะมากกว่าหนึ่งคนก็ได้ และจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
2 เป็นสัญญาที่ตกลงให้ผู้ยืมใช้สอยทรัพย์สินได้เปล่า ไม่มีค่าตอบแทน ถ้าเป็นการใช้สอยทรัพย์สินแล้วต้องเสียค่าตอบแทน สัญญานั้นก็จะเป็นเช่าทรัพย์ไป มิใช่สัญญายืมใช้คงรูป
3 เป็นสัญญาที่ตกลงให้ผู้ยืมต้องส่งคืนทรัพย์สินนั้นให้กับผู้ให้ยืมเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว กล่าวคือ ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้ยืม เมื่อใช้สอยทรัพย์สินเสร็จแล้ว ผู้ยืมจะต้องส่งคืนทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ให้ยืม จะส่งคืนทรัพย์สินอื่นแม้เป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันกับทรัพย์สินที่ยืมไม่ได้
ส่วนสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองตามมาตรา 650 นั้น สามารถแยกลักษณะเฉพาะได้ดังนี้ คือ
1 เป็นสัญญาที่มีค่าตอบแทนหรือไม่มีค่าตอบแทนก็ได้ มีผลทำให้สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองแตกต่างกับยืมใช้คงรูป และทำให้ยืมใช้สิ้นเปลืองมีลักษณะใกล้เคียงกับสัญญาเช่าทรัพย์ ที่ผู้ยืม (ผู้เช่า) ต้องเสียค่าตอบแทน และต้องคืนทรัพย์สินที่ยืม เพียงแต่ยืมใช้สิ้นเปลืองต้องคืนแต่ทรัพย์ที่เป็นประเภท ชนิดและปริมาณเดียวกัน แต่เช่าทรัพย์ ผู้เช่าต้องคืนทรัพย์สินอันเดียวกันกับที่ผู้ให้เช่าส่งมอบให้
2 เป็นสัญญาโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่ยืม
3 วัตถุแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองคือทรัพย์สินที่ใช้ไปสิ้นไป กล่าวคือ เมื่อมีการใช้สอยตามสัญญา ทรัพย์สินนั้นจะเปลี่ยนแปลงภาวะความเป็นอยู่เสื่อมสลายหรือหมดเปลืองไป ไม่คงรูปอยู่ในสภาพเดิม
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า สัญญาระหว่างปาดังกับสาเกเป็นสัญญายืมใช้คงรูปหรือสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง เห็นว่า การที่ปาดังอนุญาตให้สาเกเอารถคันที่ปาดังยืมจากปาเดไปขับรับคนโดยสารหารายได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และถ้าได้งานใหม่เมื่อใดก็ให้นำรถมาคืน แสดงให้เห็นว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 เนื่องจากเป็นสัญญาซึ่งประกอบด้วยคู่สัญญา 2 ฝ่าย และเป็นสัญญาที่ตกลงให้ผู้ยืมใช้สอยทรัพย์สินได้เปล่า ไม่มีค่าตอบแทน และประการที่สำคัญคือ ตกลงให้ผู้ยืมต้องส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้นให้กับผู้ให้ยืมเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว ไม่ได้ตกลงให้นำรถยนต์คันอื่นซึ่งเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันกับรถยนต์ที่ยืมมาคืน จึงไม่อาจเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองตามมาตรา 650 ได้
สรุป สัญญาระหว่างปาดังกับสาเกเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640
ข้อ 2 นาย ก กู้ยืมเงินนาย ข 100,000 บาท สัญญายืมเงินกำหนดให้ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยขั้นสูงสุดตามกฎหมายกำหนด ดังนี้ ลูกหนี้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินเท่าใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 7 ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทบัญญัติกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
มาตรา 653 วรรคแรก การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
มาตรา 654 ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การกู้ยืมเงินกันกว่า 2,000 บาท ถ้าไม่ได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืม ผู้ให้ยืมจะนำไปฟ้องร้องบังคับให้ผู้ยืมชำระหนี้ไม่ได้ตามมาตรา 653 วรรคแรก
ส่วนดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมนั้น คู่สัญญาจะตกลงให้ผู้ยืมเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่กู้ยืมหรือไม่ก็ได้
1 ถ้าไม่มีข้อตกลงให้คิดดอกเบี้ย ผู้ให้กู้ยืมเรียกดอกเบี้ยจากจำนวนเงินที่กู้ยืมไม่ได้จนกว่าผู้กู้ยืมจะผิดนัดตามมาตรา 224
2 ถ้าตกลงคิดดอกเบี้ยแก่กัน จะต้องกำหนดอัตราไว้ไม่เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด คือ ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปีตามมาตรา 654 ถ้าตกลงคิดดอกเบี้ยเกินอัตราดังกล่าวถือว่าเป็นการตกลงที่ขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน มีผลทำให้ความตกลงในเรื่องดอกเบี้ยเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ตามมาตรา 150 คงเรียกได้แต่เฉพาะต้นเงินเท่านั้น อนึ่งถ้าคู่สัญญามีข้อตกลงให้คิดดอกเบี้ยแก่กันแต่ไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง บทบัญญัติมาตรา 7 ให้ถือว่าคู่สัญญาตกลงกันให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญายืมเงินระหว่างนาย ก และนาย ข กำหนดให้นาย ก ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยขั้นสูงสุดตามกฎหมายกำหนด กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นข้อตกลงที่ไม่ชัดเจนเพราะไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้โดยชัดแจ้งว่าจะให้ใช้ในอัตราเท่าใด จึงต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ฝ่ายลูกหนี้ ดังนั้นจึงต้องบังคับตามมาตรา 7 คือ ให้ถือว่านาย ก และนาย ข คู่สัญญาตกลงกันให้เสียดอกเบี้ยในเงินกู้ยืมในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันทำสัญญากู้ยืมไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น (ฎ.3708/2528)
สรุป ลูกหนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเท่านั้น
ข้อ 3 หนึ่งเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนรามคำแหง โดยพักร่วมกับสองเพื่อนร่วมงานที่มาทำงานด้วยกัน หนึ่งนำประเป๋าสตางค์ที่มีเงินสดหนึ่งหมื่นบาท สายสร้อยทองคำแขวนพระหลวงพ่อคูณเลี่ยมทอง 1 องค์ (รวมมูลค่าสายสร้อยและพระประมาณสามหมื่นบาท) แหวนทับทิมล้อมเพชร 1 วง (มูลค่าประมาณสองหมื่นบาท) วางไว้ที่โต๊ะหัวเตียงในระหว่างนอนหลับ เมื่อตื่นมาตอนเช้าพบว่ากระเป๋าเดินทางถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย เพดานห้องมีร่องรอยการปีนขึ้นลงจากฝ้าเพดาน และแหวนทับทิมล้อมเพชรของหนึ่งถูกขโมยไป หนึ่งได้รีบแจ้งให้นายสมเกียรติผู้เป็นเจ้าสำนักโรงแรมทราบทันทีที่พบว่าของหายไป โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคนขโมยแหวนคือสองเพื่อนร่วมงานที่พักในห้องเดียวกันนั่นเอง
ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ตามหลักของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หนึ่งจะเรียกร้องให้โรงแรมรับผิดต่อตนได้หรือไม่ ในจำนวนเงินเท่าใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 675 เจ้าสำนักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ แม้ถึงว่าความสูญหาย หรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด
ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่นๆไซร้ ท่านจำกัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสำนักและได้บอกราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง
แต่เจ้าสำนักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า หนึ่งจะเรียกร้องให้โรงแรมรับผิดต่อตนได้หรือไม่ ในจำนวนเงินเท่าใด เห็นว่า ตามมาตรา 675 วรรคแรก ได้กำหนดให้เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ แม้ความเสียหายจะเกิดจากผู้คนไปมาเข้าออกยังโรงแรมก็ตาม แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นไว้ใน 3 กรณี คือ
1 ความสูญหายหรือบุบสลายนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัย
2 ความสูญหายหรือบุบสลายนั้นเกิดแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้นเอง
3 ความสูญหายหรือบุบสลายนั้นเกิดขึ้นเพราะความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ
กรณีนี้แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า ทรัพย์สินที่สูญหายคือ แหวนทับทิมล้อมเพชรอันถือว่าเป็นอัญมณีหรือของมีค่าตามมาตรา 675 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้ว เจ้าสำนักโรงแรมจะต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินนั้นสูญหายโดยจำกัดความรับผิดชอบไว้เพียง 5,000 บาท เพราะหนึ่งมิได้ฝากของมีค่าเช่นนั้นไว้แก่เจ้าสำนักและได้บอกราคาแห่งของนั้นชัดแจ้งก็ตาม แต่เมื่อการสูญหายนั้นเกิดจากการถูกขโมยไปโดยเพื่อนร่วมห้อง (สอง) ที่พักแรมด้วยกัน จึงเข้าข้อยกเว้นที่ทางโรงแรมจะไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 675 วรรคสาม เพราะถือว่าความเสียหายครั้งนี้เกิดจากบริวารของคนเดินทางหรือบุคคลที่คนเดินทางเข้าพักแรมด้วยกันนั่นเอง ดังนั้น หนึ่งจึงไม่สามารถเรียกร้องให้โรงแรมรับผิดในทรัพย์สินที่หายได้
สรุป หนึ่งไม่สามารถเรียกร้องให้โรงแรมรับผิดในทรัพย์สินที่หายได้