การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2547
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 สัญญายืมใช้คงรูปนั้น ถ้าผู้ยืมไม่สงวนทรัพย์สินอย่างเช่นวิญญูชนและทรัพย์สินที่ยืมนั้นเกิดความเสียหาย ผู้ยืมจะต้องรับผิดหรือไม่อย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 644 ผู้ยืมจำต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง
วินิจฉัย
กรณีสัญญายืมใช้คงรูปที่ปรากฏว่าผู้ยืมไม่สงวนทรัพย์สินที่ยืมอย่างวิญญูชน และทรัพย์สินที่ยืมนั้นเกิดความเสียหายนั้น แม้ตามมาตรา 644 มิได้บัญญัติกำหนดลงชัดเจนเลยว่า ให้ผู้ยืมรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่ถือว่าเป็นกรณีที่กฎหมายเอกเทศสัญญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเจาะจงก็ต้องนำหลักกฎหมายในบรรพ 2 หนี้ ลักษณะ 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป หมวด 2 ผลแห่งหนี้ ส่วนที่ 1 การไม่ชำระหนี้มาตรา 213 มาใช้บังคับ ซึ่งวางหลักไว้ว่า “ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้…อนึ่งบทบัญญัติในวรรคทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนนี้ หากกระทบกระทั่งถึงสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายไม่”
ตัวอย่างเช่น ผู้ยืมขอยืมรถยนต์เข้ามาเก็บไว้กลางแดด ถือว่าเป็นกรณีที่ผิดวิสัยวิญญูชนจะพึงกระทำ เพราะฉะนั้นถ้ารถยนต์เสียหายเช่นสีที่ทาลอกหลุดออกไป เจ้าหนี้คือผู้ให้ยืมมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายได้ ตามนัยมาตรา 213 วรรคท้าย ดังนี้เป็นต้น
ดังนั้น ในกรณีดังกล่าวผู้ยืมยังคงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ให้ยืม
ข้อ 2 นางสาวจุ๊บแจงขอยืมเงินนางสาวน้อยพี่สาวแท้ๆ ของตนไปเล่นหวยใต้ดินเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท โดยทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของนางสาวจุ๊บแจงเป็นผู้กู้ แต่ในการกู้ยืมนี้มี ด.ช.เอก และ ด.ญ.แจ๋ว ลงชื่อเป็นพยาน ทั้งคู่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2 อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ นอกจากนั้นในสัญญากู้ยืมเงินยังระบุอีกว่า “ผู้กู้ยืมจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 บาทต่อเดือน” ดังนี้ นางสาวจุ๊บแจงจะต้องชำระเงินคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 150 การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ
มาตรา 653 วรรคแรก การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อให้ผู้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว
มาตรา 654 ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี
วินิจฉัย
การที่นางสาวจุ๊บแจงขอยืมเงินนาวสาวน้อยพี่สาวแท้ๆ จำนวน 5,000 บาท โดยทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือ และลงลายมือช่อของนางสาวจุ๊บแจงเป็นผู้กู้ เช่นนี้ตามปกติแล้วก็ถือว่าสัญญากู้ยืมเงินสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา 653 แม้การกู้ยืมเงินครั้งนี้จะมี ด.ช.เอก และ ด.ญ.แจ๋ว ลงชื่อเป็นพยาน ซึ่งทั้งสองยังไม่บรรลุนิติภาวะ ก็ไม่ทำให้สัญญากู้ยืมเงินเสียไป เพราะสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวผู้ยืมได้ลงลายมือชื่อด้วยตนเอง มิใช่กรณีการพิมพ์ลายนิ้วมือที่จะต้องมีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือแต่อย่างใด อีกทั้งตามมาตรา 653 ก็บัญญัติแต่เพียงว่า “ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ” เท่านั้น สัญญากู้ยืมเงินก็สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฏว่า การกู้ยืมเงินครั้งนี้นางสาวจุ๊บแจงขอยืมไปเพื่อเล่นหวยใต้ดิน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของสัญญากู้ยืมเงินเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตามมาตรา 150 สัญญากู้ยืมเงินระหว่างนางสาวจุ๊บแจงกับนางสาวน้อยจึงตกเป็นโมฆะ เมื่อสัญญากู้ยืมเงินตกเป็นโมฆะ จึงไม่จำต้องพิจารณาในส่วนของดอกเบี้ยแต่อย่างใด แม้ดอกเบี้ยจะเรียกเกินอัตราของกฎหมายตามมาตรา 654 หรือตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา เช่นนี้ทั้งสองจึงไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระต่อกัน นางสาวจุ๊บแจงจึงไม่ต้องคืนเงินต้นและดอกเบี้ยแต่อย่างใด
สรุป นางสาวจุ๊บแจงไม่ต้องคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เพราะสัญญาเป็นโมฆะ
ข้อ 3 นายอาทิตย์เอารถยนต์ไปฝากไว้กับนายจันทร์เป็นเวลา 3 เดือน โดยไม่อนุญาตให้เอารถไปใช้งานและไม่ได้ตกลงว่าจะให้บำเหน็จค่าฝากกัน เมื่อนายจันทร์รับฝากแล้วกลับนำออกใช้งานและดูแลรักษาอย่างดีเหมือนเป็นรถของตน วันหนึ่งเมื่อขับรถไปซื้ออาหารที่ตลาดกลับมาพบว่ากระจกรถถูกทุบแตกและคนร้ายได้ขโมยของมีค่าที่วางไว้ในรถไป ต่อมานายอาทิตย์มารับรถคืนจึงเรียกให้นายจันทร์จ่ายค่าเสียหายที่กระจกรถแตก นายจันทร์ปฏิเสธ อ้างว่าตนรับฝากทรัพย์ไว้โดยไม่มีบำเหน็จ และขณะรับฝากได้ใช้ความระมัดระวังสงวนรักษาทรัพย์สิน เหมือนเช่นดูแลรถยนต์ของตนเองแล้วจึงไม่ต้องรับผิด ดังนี้ ข้อต่อสู้ของนายจันทร์ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 659 ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการทำให้เปล่าไม่มีบำเหน็จไซร้ ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง
ถ้าการรับฝากทรัพย์นั้นมีบำเหน็จค่าฝาก ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น ทั้งนี้ย่อมรวมทั้งการใช้ฝีมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใช้ฝีมือเช่นนั้นด้วย
ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้วิชาชีพเฉพาะกิจการค้าหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น
มาตรา 660 ถ้าผู้ฝากมิได้อนุญาต และผู้รับฝากเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นออกมาใช้สอยเองหรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยหรือให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาไซร้ ท่านว่าผู้รับฝากจะต้องรับผิดเมื่อทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นสูญหายหรือบุบสลายอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย คือ ข้อต่อสู้ของนายจันทร์ที่ว่า ตนรับฝากรถโดยไม่มีบำเหน็จ และได้ใช้ความระมัดระวังสงวนรักษาทรัพย์สินเหมือนเช่นเคยประพฤติปฏิบัติในกิจการของตนเองแล้ว จึงไม่ต้องรับผิด ฟังขึ้นหรือไม่ เห็นว่า การที่นายจันทร์รับฝากรถโดยไม่มีบำเหน็จค่าฝากตามมาตรา 659 วรรคแรก ได้กำหนดหน้าที่ให้ผู้รับฝากใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินที่ตนรับฝากไว้นั้นไม่มากหรือน้อยไปกว่าการสงวนรักษาทรัพย์สินของตน กล่าวคือ นอกจากผู้รับฝากจะไม่ได้ค่าตอบแทนในการรับฝากทรัพย์สินนั้นแล้ว ผู้รับฝากยังต้องรับภาระหน้าที่ดูแลระมัดระวังทรัพย์สินที่รับฝากอีกด้วย กฎหมายกำหนดหน้าที่เท่านั้นก็นับว่าเพียงพอแล้ว ดังนั้นการที่นายจันทร์ขับรถยนต์ของนายอาทิตย์ไปซื้ออาหารที่ตลาดกลับมาพบว่ากระจกรถถูกทุบแตกและคนร้ายได้ขโมยของมีค่าในรถไป เช่นนี้การกระทำดังกล่าวยังไม่ถือว่าเป็นการที่นายจันทร์ประพฤติผิดหน้าที่ตามมาตรา 659 แต่อย่างไรก็ตามแม้นายจันทร์จะไม่ได้ผิดหน้าที่สงวนทรัพย์สินแต่นายจันทร์ก็ผิดหน้าที่ตามมาตรา 660 โดยนำรถยนต์ที่ผู้รับฝากออกใช้สอยโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ฝากก่อน เมื่อทรัพย์สินที่ฝากสูญหายโดยไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรทรัพย์สินนั้นก็คงต้องสูญหายอยู่นั่นเอง นายจันทร์ก็ต้องรับผิด จะเห็นได้ว่าความรับผิดชอบของผู้รับฝากตามมาตรา 660 แม้เป็นกรณีการรับฝากโดยไม่มีบำเหน็จค่าฝาก ผู้รับฝากก็คงต้องรับผิดจากผลที่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว หากนายจันทร์ไม่นำรถยนต์ออกใช้สอยแล้ว การที่รถยนต์จะถูกขโมยไปอาจจะไม่เกิดมีขึ้น ดังนั้นแม้จะอ้างว่าได้สงวนทรัพย์สินเช่นที่ได้ปฏิบัติกับทรัพย์สินของตนก็คงไม่ได้ ข้อต่อสู้จึงฟังไม่ขึ้น
สรุป ข้อต่อสู้ของนายจันทร์ฟังไม่ขึ้น