การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 บุญมาตั้งใจจะยืมรถยนต์ปิคอัพของบุญมีเพื่อไปใช้รับคนโดยสาร แต่ไม่ได้แจ้งให้บุญมีทราบว่าจะเอาไปใช้อย่างไร บุญมีเห็นว่าเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมกันก็ให้มาโดยไม่ได้ถามว่าจะเอาไปใช้อย่างไรและนานเท่าใด บุญมานำรถยนต์ที่ยืมมาไปต่อเติมหลังคากับที่นั่งสองแถวแล้วให้ชะเมาเช่ารับคนโดยสาร วันหนึ่งขณะที่ชะเมาขับหาผู้โดยสารนั้น ชมวงขี่มอเตอร์ไซค์มาชนท้ายทำให้เสียหาย ถ้าจะซ่อมแซมให้กลับคืนสภาพเดิมจะต้องใช้เงินห้าพันบาท ดังนี้บุญมาจะต้องรับผิดต่อบุญมีชดใช้ ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์ที่ยืมหรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 640 อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว
มาตรา 643 ทรัพย์สินที่ยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกดจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นายกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั่นเอง
มาตรา 646 วรรคสอง ถ้าเวลามิได้กำหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่า ผู้ให้ยืมจะเรียกของคืนเมื่อไรก็ได้
วินิจฉัย
สัญญาระหว่างบุญมากับบุญมีเป็นสัญญายืมใช้คงรูป ตามมาตรา 640 ซึ่งเป็นสัญญาที่ไม่มีการกำหนดเวลาคืนรถยนต์ปิคอัพทรัพย์สินที่ยืม ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใด ผลทางกฎหมายตามมาตรา 646 วรรคสอง คือ บุญมีผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิเรียกให้บุญมาคืนรถยนต์ปิคอัพดังกล่าวเมื่อใดก็ได้
กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ บุญมาจะต้องรับผิดต่อบุญมีในการชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์ที่ยืมหรือไม่ เห็นว่า การที่บุญมาผู้ยืมนำรถยนต์ปิคอัพไปใช้ผิดสภาพอันปกติกับทรัพย์สินที่ยืม กล่าวคือ ต่อเติมหลังคากับที่นั่งสองแถวและเอาไปให้ชะเมาเช่ารับคนโดยสาร ถือได้ว่า มีการเอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย เป็นการประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืม ผู้ยืมจึงต้องรับผิดในความสุญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ อันเกิดกับทรัพย์สินที่ยืม เพราะเหตุที่ตนประพฤติผิดหน้าที่ ตามที่กำหนดไว้ตามมาตรา 643 แม้จะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยก็ยังคงต้องรับผิด ดังนั้นเมื่อบุญมาผู้ยืมเอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยแล้วเกิดความเสียหายกับทรัพย์สินนั้น แม้ความเสียหายนั้นจะเกิดจากบุคคลภายนอก บุญมาผู้ยืมก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์ที่ยืม ตามมาตรา 643
สรุป บุญมาจะต้องรับผิดชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายแก่บุญมี
ข้อ 2 พระภิกษุจำลองให้เงินนายพิภพยืมไปกินเหล้าและเที่ยวเตร่กับเพื่อนเป็นเงิน 2,100 บาท โดยทำหลักฐานเป็นหนังสือตามกฎหมาย ต่อมาหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้นหายไป ดังนี้ พระภิกษุจำลองจะฟ้องนายพิภพเพื่อเรียกเงินคืนนั้นได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 150 การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ
มาตรา 653 วรรคแรก การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า พระภิกษุจำลองสามารถให้กู้ยืมเงินได้ตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พระภิกษุเป็นบุคคลธรรมดาตามกฎหมาย จึงมีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายเท่าเทียมกันกับบุคคลธรรมดาทั่วไป ทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดห้ามพระภิกษุนำเงินส่วนตัวของตนออกให้บุคคลอื่นกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ย ดังนั้นพระภิกษุจำลองสามารถให้นายพิภพกู้ยืมเงินได้โดยไม่ผิดกฎหมายใดๆ (ฎ. 3773/2538)
ส่วนประเด็นที่ให้ยืมเงินไปดื่มเหล้าและเที่ยวเตร่ถือเป็นโมฆะ ตามมาตรา 150 หรือไม่ เห็นว่า โดยหลักนิติกรรมแล้วการใดๆ ที่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ผิดศีลธรรมอันดีหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จะตกเป็นโมฆะ แต่กรณีการให้ยืมเงินไปกินเหล้าและเที่ยวเตร่ ยังไม่ถือว่าเป็นการยืมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ทั้งยังไม่พอจะถือว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน การยืมเงินจึงมีผลสมบูรณ์และถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150
เมื่อเป็นการกู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป ตามมาตรา 653 วรรคแรกนั้นบังคับว่าถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือตามกฎหมาย จะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ แต่กรณีนี้ได้มีการทำหลักฐานเป็นหนังสือตามกฎหมายแล้ว จึงสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามมาตรา 653 วรรคแรก
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า การที่หลักฐานการกู้ยืมเงินนั้นหายไป พระภิกษุจำลองจะฟ้องนายพิภพเพื่อเรียกเงินคืนได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือตามกฎหมายแล้ว ก็ถือได้ว่า การกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ ตามนัยมาตรา 653 วรรคแรกแล้ว แม้จะทำสัญญากู้ยืมเงินหายไป ก็สามารถนำพยานบุคคลมานำสืบว่าเคยมีหลักฐานอยู่จริงได้ (ฎ. 34/2476)
สรุป พระภิกษุจำลองสามารถฟ้องนายพิภพเรียกเงินคืนได้
ข้อ 3 นายอาทิตย์ได้ติดต่อโรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษกเพื่อขอใช้ห้องจัดเลี้ยงสัมมนา 1 วัน ตั้งแต่เวลา 08.00 นาฬิกาถึง 17.00 นาฬิกา โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา 100 คน ทางโรงแรมได้คิดค่าใช้จ่ายการใช้ห้องจัดเลี้ยงรวมค่าอาหารกลางวันและอาหารว่างในราคา 500 บาท ต่อผู้เข้าร่วมสัมมนา 1 คน ในวันจัดเลี้ยง ขณะที่นายหนึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาจอดรถไว้ยังที่จอดรถของโรงแรมและเข้าไปร่วมสัมมนา นายสองได้เข้ามารับประทานอาหารที่ห้องอาหารจีนของโรงแรมและขับรถเฉี่ยวชนรถของนายหนึ่งไฟท้ายรถของนายหนึ่งแตก ท้ายรถบุบ คิดเป็นค่าเสียหาย 4,000 บาท เมื่อนายหนึ่งรู้ได้รีบแจ้งนายอาทิตย์ผู้จัดสัมมนาและนายจันทร์ผู้จัดการโรงแรมทราบทันที และขอให้โรงแรมรับชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 4,000 บาทแก่ตน ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าโรงแรมต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่อนายหนึ่งหรือไม่ โดยใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่องเจ้าสำนักโรงแรม
ธงคำตอบ
มาตรา 674 เจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา
วินิจฉัย
ตามมาตรา 674 นี้ได้กำหนดวางหลักทั่วไปว่าหากไม่มีผู้รับผิดโดยชัดแจ้งแล้ว ให้เจ้าสำนักรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ ที่เกิดกับทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยที่เข้ามาพักในโรงแรม
สำหรับ “คนเดินทางหรือแขกอาศัย” หมายความถึง ผู้ที่มาพักอาศัยในโรงแรมหรือสถานที่เช่นเดียวกัน โดยประสงค์จะหาที่อยู่หรือที่พักเป็นการชั่วคราว โดยเสียค่าพักอาศัย ไม่หมายรวมถึงผู้เข้าพักโดยมิได้เสียค่าเช่าที่พัก เช่น ผู้จัดการโรงแรม คนงาน หรือบุคคลอื่นที่คนเดินทางหรือแขกอาศัยมาพักอยู่ด้วย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายหนึ่งเป็นผู้เข้าร่วมสัมมนาในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม ไม่ใช่ผู้เข้ามาพักแรมหรือพักอาศัยในโรงแรม โรงแรมจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของนายหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะนายหนึ่งไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในความหมายของคำว่า “คนเดินทาง หรือ แขกอาศัย” ในมาตรา 674 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าวนั่นเอง
สรุป โรงแรมไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่อนายหนึ่ง