การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 สัญญายืมใช้คงรูป และยืมใช้สิ้นเปลืองนั้นเหมือนกันและต่างกันอย่างไร อธิบายโดยอ้างอิงหลักกฎหมายประกอบด้วย
ธงคำตอบ
มาตรา 640 อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว
มาตรา 641 การให้ยืมใช้คงรูปนั้นท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม
มาตรา 650 อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม
จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นว่า สัญญายืมใช้คงรูปกับยืมใช้สิ้นเปลืองมีลักษณะที่เหมือนกันและต่างกันดังนี้
ลักษณะที่เหมือนกัน
1 เป็นสัญญาซึ่งประกอบด้วยคู่กรณี 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม โดยแต่ละฝ่ายไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายละคนเสมอไป อาจจะมากกว่าหนึ่งคนก็ได้ และจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลก็ได้ กฎหมายไม่ได้จำกัดไว้ เพียงแต่ต้องมีคู่กรณี 2 ฝ่ายจึงจะเกิดเป็นสัญญาได้
2 ผู้ให้ยืมจะต้องส่งมอบทรัพย์สินให้ผู้ยืมได้ใช้สอย จึงถือได้ว่า การส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมเป็นแบบแห่งความสมบูรณ์ของสัญญายืม หากไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม สัญญายืมจึงไม่สมบูรณ์ ไม่มีผลทางกฎหมายแต่อย่างใด เช่น นาย ก. ยืมแจกันจาก นาง ข. แต่นาง ข. ยังไม่ว่างจึงยังไม่หยิบให้ เช่นนี้ถือว่าสัญญายืมยังไม่สมบูรณ์ เพราะยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม
3 เมื่อผู้ยืมได้ใช้ทรัพย์สินที่ยืมเสร็จแล้ว ผู้ยืมมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินให้กับผู้ให้ยืม ซึ่งทำให้สัญญายืมมีลักษณะต่างจากสัญญาประเภทอื่น เช่น หากเป็นการให้เอาไปใช้สอยได้เปล่าโยไม่ต้องส่งคืนก็หาเป็นสัญญายืม แต่อาจเป็นสัญญาให้ หรือหากเป็นการให้ใช้สอยทรัพย์สินโดยเสียค่าตอบแทนและไม่ต้องส่งคืนเช่นนี้ ก็อาจเป็นสัญญาซื้อขายได้
ลักษณะที่ต่างกัน
1 สัญญายืมใช้คงรูปนั้น เป็นสัญญาที่ผู้ยืมได้ประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว กล่าวคือ ได้ใช้ทรัพย์สินที่ยืมโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน เมื่อใช้สอยเสร็จแล้วก็ต้องคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้น ดังนี้ กรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่ยืมจึงไม่โอนไปยังผู้ยืม แต่สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่ยืมโอนไปยังผู้ยืม ตัวอย่างเช่น นาย ก. ยืมน้ำปลาของนาย ข. ไปให้ภรรยาดูราคาข้างขวด เช่นนี้ถือว่าเป็นสัญญายืมใช้คงรูป กรรมสิทธิ์ในน้ำปลายังไม่โอนไปยังนาย ข. ผู้ยืม แต่หากนาย ก. ยืมน้ำปลา 1 ขวดเพื่อไปใช้ทำอาหาร เช่นนี้ถือว่า เป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง กรรมสิทธิ์น้ำปลาขวดที่ยืมจึงโอนไปยังนาย ข. ผู้ยืม
2 สัญญายืมใช้คงรูป ผู้ยืมใช้ทรัพย์สินที่ยืมได้เปล่า ไม่เสียค่าตอบแทน หากเสียค่าตอบแทนก็อาจเป็นสัญญาอื่น เช่น สัญญาเช่าทรัพย์ไป แต่สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองผู้ยืมอาจได้ใช้ทรัพย์สินที่ยืมไปโดยเสียค่าตอบแทนด้วยหรือไม่ก็ได้ เช่น สัญญากู้ยืมเงินโดยมีดอกเบี้ยและหรือค่าธรรมเนียม
3 สัญญายืมใช้คงรูป ผู้ยืมต้องส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมมานั้น จะส่งคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกับทรัพย์สินที่ยืมมานั้นไม่ได้ แต่สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ผู้ยืมไม่ต้องส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้น แต่ต้องส่งคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันกับทรัพย์สินที่ยืมมานั้น เนื่องจากวัตถุแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง เป็นทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปหรือหมดสภาพไปเพราะการใช้ จึงเป็นไปไม่ได้เองที่จะต้องคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้นเหมือนกับสัญญายืมใช้คงรูป
ข้อ 2 นางอินศรีแม่เลี้ยงนางเอิบสุรีย์ได้ให้เงินนางเอิบสุรีย์ยืมไปกินเหล้าดับความทุกข์ที่สามีนางเอิบสุรีย์จากไปแต่งงานใหม่กับหญิงอื่น โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน และได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมานางเอิบสุรีย์ได้ชำระดอกเบี้ยเป็นเงินสดทุกเดือนเป็นเวลา 1 ปี และชำระดอกเบี้ยเป็นเช็คเงินสดทุกเดือนอีกในระยะ 1 ปีหลัง โดยไม่มีหลักฐานการคืนเงินใดๆ ดังนี้ หากนางอินศรีเจ้าหนี้ต้องการบังคับให้นางเอิบสุรีย์ใช้เงินดอกเบี้ยอีกครั้ง พร้อมทั้งเงินต้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 653 วรรคแรก การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อให้ผู้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว
วินิจฉัย
นางอินศรีได้ให้นางเอิบสุรีย์กู้ยืมเงิน คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน โยทำหลักฐานเป็นหนังสือถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง กรณีนี้ไม่ถือว่าสัญญากู้ยืมเงินเป็นโมฆะ ตามมาตรา 150 เพราะยังไม่ถือว่าการกู้ยืมเงินเพื่อไปซื้อสุราผิดกฎหมายแต่อย่างใด จึงถือว่าสัญญากู้ยืมเงินสมบูรณ์ตามกฎหมาย ต่อมานางเอิบสุรีย์ก็ได้ชำระดอกเบี้ยเป็นเงินสด และเช็คเงินสดในทุกๆเดือน แต่ไม่ได้มีหลักฐานในการคืนเงินใดๆ ดังนี้ หากนางอินศรีต้องการให้นางเอิบสุรีย์ใช้เงินดอกเบี้ยอีก นางเอิบสุรีย์ก็ปฏิเสธไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่งได้ เพราะการที่จะมีหลักฐานการคืนเงินที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ตามมาตรา 653 วรรคสอง นั้น จะต้องเป็นการคืนเงินต้นเท่านั้น ไม่มีบทบัญญัติให้การคืนดอกเยต้องมีหลักฐานการคืนเงินเป็นหนังสือแต่อย่างใด ฉะนั้นจึงสามารถนำสืบพยานบุคคลเพื่อให้เห็นถึงการคืนเงินดอกเบี้ยได้ ไม่ต้องมีหลักฐานการคืนเงินในกรณีนี้ ส่วนเงินต้นเมื่อนางเอิบสุรีย์ยังมิได้ชำระนางเอิบสุรีย์ก็ต้องชำระแก่นางอินศรีตามกฎหมาย
สรุป นางเอิบสุรีย์ไม่ต้องใช้เงินดอกเบี้ยแก่นางอินศรีอีกครั้ง จำต้องชำระแต่เพียงเงินต้นเท่านั้น
ข้อ 3 นายกล้ารับราชดารเป็นทหาร ได้รับคำสั่งให้ไปประจำการที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 เป็นต้นไป นายกล้าได้จัดการนำรถยนต์ของตนไปฝากจอดไว้ที่บ้านนายเก่งที่อยู่ติดกัน และให้นายเก่งดูแลรักษาโดยตกลงจะให้ค่าบำเหน็จเดือนละ 500 บาท ต่อมาเมื่อครบกำหนด 1 ปี นายกล้ากลับมาประจำการที่กรุงเทพมหานครตามเดิม จึงมาขอรับรถยนต์คืน โดยไม่เอ่ยถึงค่าบำเหน็จจำนวน 6,000 บาทเลย เท่าค่าบำเหน็จที่นายกล้าต้องจ่ายให้นายเก่ง นอกจากนั้นนายเก่งยังอ้างถึงสิทธิของตนในฐานะที่เป็นผู้รับฝากทรัพย์ ย่อมมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์ที่ฝากไว้ได้จนกว่าจะได้รับเงินค่าบำเหน็จ แต่ตนเห็นว่าหากจะยึดรถยนต์ที่ฝากไว้ก็จะมีราคาสูงกว่าค่าบำเหน็จ จึงได้เพียงแค่ถอดโทรทัศน์ในรถยนต์ออกเก็บไว้ เพราะมีราคาใกล้เคียงกับค่าบำเหน็จที่ค้างชำระ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเก่งมีสิทธิหน่วงทรัพย์ดังกล่าวจนกว่าจะได้รับค่าบำเหน็จหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 670 ผู้รับฝากชอบที่จะยึดหน่วงเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นไว้ได้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาที่ค้างชำระแก่ตนเกี่ยวด้วยการฝากทรัพย์นั้น
วินิจฉัย
จากบทบัญญัติดังกล่าว เป็นการให้สิทธิแก่ผู้รับฝากในการยึดหน่วงทรัพย์สินที่ฝากได้ในกรณีที่ผู้ฝากยังคงเป็นหนี้ผู้รับฝากเกี่ยวด้วยการฝากทรัพย์นั้นอยู่ กล่าวคือ มีสิทธิยึดหน่วงจนกว่าผู้ฝากจะชำระหนี้ กรณีตามอุทาหรณ์ นายกล้าได้ทำสัญญาฝากรถยนต์ของตนกับนายเก่ง โดยตกลงให้ค่าบำเหน็จเดือนละ 500 บาท จนกระทั่งผ่านไป 1 ปี นายกล้าได้ขอรับรถยนต์คืนแต่มิได้เอ่ยถึงค่าบำเหน็จจำนวน 6,000 บาท ที่นายกล้าต้องชำระแก่นายเก่ง นายเก่งจึงคืนรถยนต์ไปแต่ได้ถอดเครื่องรับโทรทัศน์ที่ติดกับรถยนต์ของนายกล้าออกไว้ โดยอ้างว่าโทรทัศน์มีราคา 6,000 บาท เท่ากับค่าบำเหน็จที่นายกล้าต้องจ่ายให้นายเก่ง ทั้งยังอ้างสิทธิยึดหน่วงของผู้รับฝากทรัพย์ตามมาตรา 670 อีกด้วย กรณีเช่นนี้นายเก่งไม่สามารถอ้างได้ เพราะการใช้สิทธิขิงผู้รับฝากเพื่อยึดหน่วงทรัพย์ที่รับฝากจนกว่าจะได้รับเงินที่ค้างชำระเกี่ยวด้วยการฝากทรัพย์ตามมาตรา 670 นั้น ต้องเป็นการใช้สิทธิยึดตัวทรัพย์ที่นำมาฝาก แต่โทรทัศน์ติดรถยนต์ไม่ใช่ตัวทรัพย์ที่รับฝาก เป็นเพียงสิ่งที่ให้ความบันเทิงแก่ผู้ที่นั่งในรถยนต์ที่นำมาติดไว้ในรถยนต์ ทั้งยังมิใช่ส่วนควบของรถยนต์อีกด้วย การใช้สิทธิยึดหน่วงทรัพย์ต่างๆ ที่ติดมาในรถยนต์ จึงไม่อยู่ในอำนาจของผู้รับฝากทรัพย์ตามมาตรา 670 แต่อย่างใด
สรุป นายเก่งจึงไม่มีสิทธิยึดโทรทัศน์ที่ติดอยู่ในรถยนต์เพื่อเรียกร้องค่าบำเหน็จด้วยเหตุผลข้างต้น