การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายองอาจยืมรถยนต์ที่นายดำรงเพิ่งซื้อมาได้เพียง 1 เดือน โดยไม่ได้บอกกับนายดำรงว่าจะเอาไปใช้อย่างไรและจะเอามาคืนเมื่อใด แต่นายองอาจเอารถยนต์ไปให้สดศรีแฟนสาวใช้ขับไปทำงานเป็นประจำ นายดำรงมาพบเข้าจึงบอกเลิกสัญญาและเรียกให้นายองอาจนำรถมาคืน แต่นายองอาจไม่ได้นำรถไปคืน หลังจากนั้นอีก 7 วันต่อมาเกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้หมู่บ้านที่นายองอาจและนายดำรงอาศัยอยู่ต้องรับผลจากอุทกภัยครั้งนี้อย่างหนักคือน้ำท่วมระดับสูง 2 เมตร เป็นเวลากว่า 10 วัน รถที่นายองอาจยืมมาถูกน้ำท่วมและแช่น้ำอยู่ตลอด ถ้าจะบำรุงรักษาให้กลับคืนสภาพเดิมต้องใช้เงินถึง 1 แสนบาท
ดังนี้ นายองอาจจะต้องรับผิดต่อนายดำรงชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์คันที่ยืมไปหรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 8 เหตุใดๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดี เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นได้จัดการระมัดระวังตามสมควร อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลนั้นในฐานะและภาวะเช่นนั้น
มาตรา 640 อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว
มาตรา 643 ทรัพย์สินที่ยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกดจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นายกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั่นเอง
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญายืมระหว่างนายองอาจและนายดำรงเป็นสัญญายืมใช้คงรูป ตามมาตรา 640 นายองอาจผู้ยืมมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถยนต์ตามสิทธิของผู้ยืมตามกฎหมาย กล่าวคือ ต้องใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมตามภาวะของวิญญูชนที่จะพึงใช้ทรัพย์สินชนิดนั้น สงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืม รวมทั้งไม่ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมด้วย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายองอาจเอารถยนต์ไปให้สดศรีแฟนสาวใช้ขับไปทำงานเป็นประจำ ซึ่งมิได้รับความยินยอมจากนายดำรงผู้ให้ยืมแต่อย่างใด จึงเป็นการนำทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย ถือว่านายองอาจประพฤติผิดหน้าที่ผู้ยืม ตามมาตรา 643 ผลทางกฎหมายคือ นายดำรงผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญายืมได้ ตามมาตรา 645
นอกจากนี้การที่นายองอาจไม่ได้นำรถไปคืน หลังจากนั้นอีก 7 วันต่อมาก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้รถยนต์ที่ยืมได้รับความเสียหายซึ่งถ้าจะบำรุงรักษาให้กลับคืนสภาพเดิมต้องใช้เงินถึง 1 แสนบาท แม้เหตุน้ำท่วมใหญ่จะเป็นเหตุสุดวิสัยตามมาตรา 8 คือ เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้ ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและภาวะเช่นนั้นก็ตาม นายองอาจผู้ยืมก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว ทั้งนี้สืบจากบทบัญญัติมาตรา 643 กำหนดให้ผู้ยืมยังคงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในกรณีใดๆ ที่เกิดกับทรัพย์สินที่ยืม หากได้ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืม แม้ความเสียหายดังกล่าวจะมิได้เกิดขึ้นเพราะความผิดของผู้ยืมหรือความเสียหายนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย
แต่อย่างไรก็ตามบทบัญญัติมาตรา 643 ตอนท้ายได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ให้ผู้ยืมหลุดพ้นจากความรับผิดได้ หากผู้ยืมพิสูจน์ได้ว่า ถึงอย่างไร ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง ดังนั้นในกรณีนี้หากนายองอาจพิสูจน์ได้ เช่น แม้ต้นจะนำรถยนต์ไปคืนตามที่นายดำรงเรียกคืน นายดำรงก็คงเก็บรักษารถยนต์ไว้ที่บ้าน และต้องได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเสียหายอยู่ดี เช่นนี้ นายองอาจอาจหลุดพ้นจากความรับผิดได้
สรุป นายองอาจต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ตามมาตรา 643 เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องเสียหายอยู่นั่นเอง
ข้อ 2 ยอดทองยืมเงินยอดธงไป 60,000 บาท ยอดทองเขียนเอกสารมีข้อความว่า วันที่ 11 กันยายน 2551 ยอดทอง สุขสำราญ ยืมเงินพี่ธงไป 60,000 บาท จะใช้คืนในวันที่ 12 มีนาคม 2552 ดังนี้ ถ้ายอดทองไม่ใช้เงินคืน ยอดธงจะใช้เอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานฟ้องร้องบังคับคดีได้หรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 650 อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น
สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม
มาตรา 653 วรรคแรก การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
วินิจฉัย
การกู้ยืมเงิน เป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ตามมาตรา 650
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามมาตรา 653 วรรคแรก บังคับว่าในกรณีที่จะฟ้องร้องบังคับคดีในเรื่องเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกันเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปจะต้องมีพยานหลักฐานประกอบการฟ้องคดี คือ
1 หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ
2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ
สำหรับการลงลายมือชื่อในหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินนั้น กฎหมายบังคับว่าต้องมีลายมือชื่อของผู้ยืมเท่านั้น ส่วนผู้ให้ยืมจะลงลายมือชื่อในหลักฐานนั้นหรือไม่ ก็ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ทำให้หลักฐานแห่งการฟ้องคดีนั้นเสียไป และการลงลายมือชื่อนั้น ผู้ยืมอาจเขียนเป็นชื่อตัวเอง หรือลายเซ็นก็ได้ และอาจจะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่น จะเป็นภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศก็ได้ แต่ถ้ามิได้ลงลายมือชื่อเลย แม้ผู้ยืมจะเป็นผู้ทำหลักฐานเป็นหนังสือนั้นเอง หลักฐานนั้นก็ใช้ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ ตามมาตรา 653 วรรคแรก
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ยอดธงจะใช้เอกสารที่ยอดทองเขียนไว้เป็นหลักฐานฟ้องร้องบังคับคดีได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ยอดทองจะเขียนเอกสารมีข้อความว่า วันที่ 11 กันยายน 2551 ยอดทอง สุขสำราญยืมเงินพี่ธงไป 60,000 บาท จะใช้คืนในวันที่ 12 มีนาคม 2552 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการกู้ยืมเงินกันจริงก็ตาม แต่ในเอกสารดังกล่าวไม่มีลายมือชื่อยอดทองลงไว้เป็นผู้ยืม ทั้งจะถือเอาการที่ยอดทองเขียนเอกสารดังกล่าวด้วยลายมือตนเองเป็นการลงลายมือชื่อของยอดทองหาได้ไม่ เมื่อเอกสารดังกล่าวไม่มีลายมือชื่อยอดทองลงไว้ในฐานะเป็นผู้ยืมก็ถือไม่ได้ว่าเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมตามความมุ่งหมายของมาตรา 653 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยอดธงจึงจะใช้เอกสารดังกล่าวฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่ยอดทองหาได้ไม่ (ฎ.1989/2538)
สรุป ยอดธงจะใช้เอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้
ข้อ 3 นายเอกและภรรยาได้เข้าพักแรมที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง โดยจอดรถยนต์ของตนไว้ที่ลานจอดรถของโรงแรม และเข้าพักแรมโดยใช้ชื่อนายเอกลงทะเบียนเป็นแขกพักแรม ในตอนค่ำได้ออกไปรับประทานอาหารข้างนอกโรงแรมโดยภรรยานายเอกได้ถอดสร้อยเพชรมูลค่า 50,000 บาท ไว้บนโต๊ะข้างเตียง เมื่อกลับมาปรากฏว่าสร้อยเพชรหายไปและมีรอยงัดแงะของคนร้ายที่หน้าต่างห้องพัก ในขณะเดียวกันพนักงานคนหนึ่งก็ได้ขึ้นมาแจ้งว่ารถที่นำเข้าจอดไว้ในลานจอดรถถูกรถของแขกอีกคนหนึ่งชนไฟท้ายแตก เมื่อชนแล้วก็รีบขับหนีไป สำหรับไฟท้ายที่แตกคิดราคาประมาณ 2,000 บาท นายเอกจึงรีบแจ้งให้ทางโรงแรมทราบทันที ทางโรงแรมปฏิเสธไม่ยอมรับผิดต่อสู้ว่าโรงแรมมีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะทรัพย์ของนายเอกเท่านั้น จึงไม่ขอรับผิดในทรัพย์ของภรรยานายเอกที่ถูกขโมยไป ส่วนรถยนต์ที่ถูกชนก็เป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ทราบว่าเป็นใคร ชนแล้วหนีไป ทางโรงแรมไม่มีหน้าที่ต้องรับผิด ดังนี้ ข้ออ้างของโรงแรมรับฟังได้หรือไม่ จงอธิบาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 675 เจ้าสำนักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ แม้ถึงว่าความสูญหาย หรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด
ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่นๆไซร้ ท่านจำกัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสำนักและได้บอกราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง
แต่เจ้าสำนักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้เป็น 2 กรณี คือ
1 กรณีที่สร้อยเพชรราคา 50,000 บาท ของภรรยานายเอกที่หายไป เจ้าสำนักโรงแรมจะต้องรับผิดหรือไม่ เห็นว่า เจ้าสำนักโรงแรมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในความสูญหายหรือเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัย ซึ่งหมายความรวมถึงบุคคลที่เข้าพักอาศัยร่วมกับผู้เดินทางด้วย ความรับผิดของเจ้าสำนักโรงแรมหาได้จำกัดเฉพาะทรัพย์สินของผู้ลงทะเบียนเข้าพักแรมเท่านั้นไม่ กรณีนี้เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดในการที่สร้อยเพชรของภรรยานายเอกหายไป
ส่วนเจ้าสำนักโรงแรมจะต้องรับผิดเพียงใดนั้น เห็นว่า ทรัพย์สินที่หายคือ สร้อยเพชรราคา 50,000 บาท ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวเกี่ยวด้วยอัญมณีและของมีค่าอื่นๆ บทบัญญัติมาตรา 675 วรรคสอง ให้จำกัดความรับผิดไว้เพียง 5,000 บาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสำนักและได้บอกราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง ภรรยาของนายเอกเป็นบุคคลผู้เข้าพักร่วมกับผู้เดินทาง เมื่อไม่ฝากของมีค่าไว้ เจ้าสำนักจึงรับผิดเพียง 5,000 บาท ไม่ว่าของมีค่านั้นภรรยาของนายเอกจะสวมใส่มาโดยเปิดเผยหรือไม่ก็ตามและหาใช่ว่าต้องฝากทรัพย์สินเฉพาะผู้ลงทะเบียนเข้าพักในโรงแรมไม่ (ฎ.9284/2544)
2 กรณีที่รถยนต์ของนายเอกถูกชน เสียหายเป็นจำนวน 2,000 บาท เจ้าสำนักโรงแรมจะต้องรับผิดหรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 675 วรรคแรก ได้กำหนดให้เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ แม้ความเสียหายจะเกิดจากผู้คนไปมาเข้าออกยังโรงแรม ดังนั้น แม้บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ขับรถมาชนรถของนายเอก โรงแรมก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นจำนวน 2,000 บาท กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามมาตรา 675 วรรคสามแต่อย่างใด ข้อต่อสู้ของโรงแรมที่ว่า รถยนต์เป็นของบุคคลภายนอกไม่ทราบว่าเป็นของใคร ชนแล้วหนีไป ทางโรงแรมไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดจึงฟังไม่ขึ้น (ฎ.1370/2526, ฎ. 2196/2523)
สรุป ข้อต่อสู้ของโรงแรมรับฟังไม่ได้ทั้งสองประการ ทางโรงแรมต้องรับผิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 7,000 บาท