ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
จึงแจ้งความจำนงที่จะเช่าต่ออีก 2 ปี ตามสัญญาข้อ 5 เขียวตอบปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามที่ขาวต้องการ ครั้นสัญญาเช่าครบกำหนดแล้วเขียวได้แจ้งขาวว่าให้ขาวขนของออกจากที่ดินและให้ส่งที่ดินคืนภายในวันที่ 15 มีนาคม 2552 และเขียวไม่ยอมจ่ายเงิน 100,000 บาท ตามสัญญาข้อ 5 ให้กับขาวเลย ให้ท่านวินิจฉัยว่าการกระทำของเขียวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบหลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 538 เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี
มาตรา 569 อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า
ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย
วินิจฉัย
สัญญาเช่าที่ดินระหว่างแดงกับขาวมีกำหนดเวลา 2 ปี เมื่อมีสัญญาเช่าเป็นหนังสือ ย่อมใช้ฟ้องร้องบังคับคดีได้และถือว่าสัญญาเช่าเป็นหนังสือนั้นเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องคดี ตามมาตรา 538
ส่วนเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินซึ่งให้เช่า ถ้าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ไม่ทำ
ให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทำให้ผู้รับโอนย่อมรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย ตามมาตรา 569
กรณีตามอุทาหรณ์ ขาวเช่าบ้านหลังนี้มาได้เพียง 1 ปี แดงได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้กับเขียวโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่นนี้ถือว่าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่าและขาวผู้เช่าไม่ระงับสิ้นไป ตามาตรา 659 วรรคแรก แต่เขียวผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย กล่าวคือ เขียวต้องให้ขาวเช่าอยู่ต่อไปจนครบ 2 ปี ตามสัญญาเช่า ตามมาตรา 569 วรรคสอง
แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาเช่าข้อ 5 ที่มีข้อความว่า “เมื่อครบกำหนด 2 ปี ตามสัญญาฉบับนี้แล้ว ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่ออีก 2 ปี หากผู้เช่าต้องการ” ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นเพียงคำมั่นที่ผูกพันเฉพาะระหว่างคู่สัญญา ไม่ถือว่าเป็นสัญญาเช่า คำมั่นจะให้เช่าดังกล่าวจึงต้องระงับไปพร้อมกับการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่า
ส่วนข้อสัญญาที่ว่า “หากไม่มีการต่อสัญญาเช่า ผู้ให้เช่าตกลงที่จะจ่ายเงิน 100,000 บาท ให้กับผู้เช่าเป็นค่าขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินที่เช่า” ก็ไม่ใช่ข้อตกลงเกี่ยวกับสัญญาเช่าเช่นกัน ทั้งไม่ใช่หน้าที่ของผู้ให้เช่าตามกฎหมายด้วย ผู้รับโอนจึงไม่ต้องผูกพันตามข้อสัญญานี้ ทั้งนี้เพราะสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่ผู้รับโอนจะต้องรับมาด้วยนั้นคือ สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าเท่านั้น
ดังนั้นถึงแม้ขาวจะแจ้งความจำนงที่จะเช่าต่ออีก 2 ปี แต่เขียวปฏิเสธ และให้ขาวขนย้ายออกไป เขียวย่อมมีสิทธิทำได้และเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะคำมั่นจะให้เช่าไม่ผูกพันผู้รับโอน ตามมาตรา 569 และการที่เขียวไม่ยอมจ่ายเงิน 100,000 บาท ตามสัญญาข้อ 5 ก็เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน เพราะข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงตามสัญญาอื่น ไม่ใช่สัญญาเช่า จึงไม่ผูกพันเขียวผู้รับโอน
สรุป การกระทำของเขียวชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ข้อ 2
(ก) น้ำเงินทำสัญญาเป็นหนังสือให้ม่วงเช่าบ้านมีกำหนดเวลา 5 ปี สัญญาเช่าตกลงชำระค่าเช่าทุกๆวันที่ 15 ของเดือน ปรากฏข้อเท็จจริงว่าสัญญาเช่าดำเนินมาเพียง 1 ปีเท่านั้น ม่วงไม่ชำระค่าเช่าของวันที่ 15 มกราคม 2552 และของวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2552 แต่น้ำเงินก็ไม่ได้ทวงถามค่าเช่าครั้นถึงวันที่ 6 มีนาคม 2552 น้ำเงินได้โทรศัพท์ไปหาม่วงและขอบอกเลิกสัญญาเช่าทันที แต่ยอมให้ม่วงออกไปจากบ้านเช่าในวันที่ 15 มีนาคม 2552 การกระทำของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เพียงใด
(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คำตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่เพียงใด จงวินิจฉัย
ธงคำตอบ
(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 560 ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้
แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกำหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน
วินิจฉัย
การบอกเลิกสัญญาเช่าในกรณีที่ผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า มีกำหนดไว้ในมาตรา 560 กล่าวคือ ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่ถ้าชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เช่น รายสองเดือนหรือรายปี ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชำระไม่น้อยกว่า 15 วัน จึงจะบอกเลิกสัญญาได้ ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้ ดังนั้นการเช่าที่ต้องชำระค่าเช่าเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ ถ้าผู้เช่าไม่ชำระ ผู้ให้เช่าก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที
กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาเช่าบ้านระหว่างน้ำเงินและม่วง มีการตกลงชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน คือทุกๆวันที่ 15 ของเดือน การที่ม่วงผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ยังไม่ทำให้น้ำเงินเกิดสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านดังกล่าวได้ เพราะกรณีดังกล่าวต้องตามบทบัญญัติมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้นน้ำเงินจึงต้องบอกกล่าวให้ม่วงนำค่าเช่าบ้านมาชำระก่อน ซึ่งจะต้องให้เวลาอย่างน้อย 15 วัน น้ำเงินผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีในวันที่ 6 มีนาคม 2552 และให้ม่วงออกไปจากบ้านเช่าในวันที่ 15 มีนาคม 2552 ไม่ได้ เมื่อน้ำเงินบอกเลิกสัญญาเช่าทันที ทำให้การบอกเลิกสัญญาของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 574 วรรคแรก ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย
วินิจฉัย
ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ ก เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ม่วงผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อในวันที่ 15 มกราคม 2552 และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2552 น้ำเงินย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที ตามมาตรา 574 วรรคแรก โดยไม่ต้องเตือนให้ผู้เช่าซื้อ นำค่าเช่าซื้อมาชำระก่อนแต่อย่างใด เพราะเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ 2 คราวติดกัน กฎหมายให้สิทธิผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันที ดังนั้นการที่น้ำเงินบอกเลิกสัญญาทันทีในวันที่ 6 มีนาคม 2552 จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำตอบจึงแตกต่างกัน
สรุป
(ก) การกระทำของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(ข) การกระทำของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ข้อ 3
(ก) นายจ้างทำสัญญาจ้างแรงงานนายสมัยเป็น “เจ้าหน้าที่ฝ่ายทำบัญชีและการเงิน” ตามสัญญาไม่มีกำหนดเวลา ตกลงชำระค่าจ้างทุกๆวันสิ้นเดือนๆละ 10,000 บาท นายสมัยมาทำงานสายบ่อยครั้งทำให้นายจ้างไม่ค่อยพอใจ นายจ้างจึงมีคำสั่งให้นายสมัยขับรถยนต์ไปส่งสินค้าให้ลูกค้า แต่นายสมัยไม่ยอมทำตามคำสั่ง นายจ้างจึงบอกเลิกสัญญาจ้างนายสมัยทันที และไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วย เช่นนี้นายสมัยจะต่อสู้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย
(ข) ตามกฎหมายจ้างทำของ ผู้รับจ้างจะเอาการที่จ้างนั้นไปให้บุคคลอื่นรับจ้างช่วงเป็นบางส่วนหรือทั้งหมดได้หรือไม่ จงอธิบายโดยยกหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ
ธงคำตอบ
(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 583 ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทำความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี หรือทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้
วินิจฉัย
การจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างที่จะทำให้นายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างได้ทันที ตามมาตรา 583 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการดังนี้ คือ
1 ต้องเป็นการกระทำโดยจงใจ
2 เป็นการขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย
3 คำสั่งนั้นเกี่ยวกับหน้าที่ตามสัญญาจ้าง
กรณีตามอุทาหรณ์ นายจ้างทำสัญญาจ้างนายสมัยเป็นลูกจ้างทำหน้าที่ “เจ้าหน้าที่ฝ่ายทำบัญชีและการเงิน” แต่นายจ้างมีคำสั่งให้นายสมัยขับรถไปส่งสินค้า ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ตามสัญญาจ้าง การที่นายสมัยไม่ทำตามที่นายจ้างสั่ง จึงไม่ใช่การจงใจขัดคำสั่งของนายจ้าง ตามนัยมาตรา 583 ที่นายจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน ดังนั้นนายสมัยสามารถต่อสู้นายจ้างได้ ตามมาตรา 583
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 607 ผู้รับจ้างจะเอาการที่รับจ้างทั้งหมดหรือแบ่งการแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วงทำอีกทอดหนึ่งก็ได้ เว้นแต่สาระสำคัญแห่งสัญญานั้นจะอยู่ที่ความรู้ความสามารถของตัวผู้รับจ้าง แต่ผู้รับจ้างคงต้องรับผิดเพื่อความประพฤติหรือความผิดอย่างใดๆของผู้รับจ้างช่วง
อธิบาย
จากหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าโดยหลักแล้ว สัญญาจ้างทำของไม่ใช่สัญญาเฉพาะตัวของผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างจึงสามารถเอาการที่รับจ้างทั้งหมดหรือแบ่งแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วงทำก็ได้ ทั้งนี้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าจ้างแต่อย่างใด ตามมาตรา 607 ตอนต้น เว้นแต่จะมีข้อตกลงห้ามมิให้รับจ้างช่วง
ตัวอย่างเช่น ก ว่าจ้าง ข ให้สร้างบ้านหนึ่งหลัง กำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เช่นนี้ ข ผู้รับจ้างสามารถให้ ค สร้างบ้านดังกล่าวแทนตนได้ หรือ ข สร้างบ้านเสร็จไปแล้วครึ่งหลัง ข จะให้ ค สร้างต่ออีกครึ่งหลังให้แล้วเสร็จภายในเวลากำหนดก็ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อยกเว้นอยู่ว่า ถ้าสาระสำคัญแห่งสัญญาจ้างทำของนั้นอยู่ที่ความรู้ความสามารถของตัวผู้รับจ้าง หรือต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะตัว ผู้รับจ้างจะให้บุคคลอื่นกระทำการแทนตนไม่ได้ กล่าวคือจะเอาการที่จ้างนั้นไปให้บุคคลอื่นรับจ้างช่วงไม่ได้ ทั้งนี้เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ชำระหนี้แทนกันได้นั่นเอง
ตัวอย่างเช่น จ้างผู้รับจ้างวาดภาพเหมือนตัวผู้ว่าจ้าง หรือจ้างทำเครื่องประดับอัญมณีซึ่งผู้รับจ้างมีฝีมือดี ยังหาผู้มีฝีมือแข่งขันด้วยไม่ได้ เช่นนี้ถือว่าเป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งสาระสำคัญอยู่ที่ความรู้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างจึงไม่อาจเอาการที่รับจ้างนั้นไปให้ผู้อื่นกระทำแทนตนได้