การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 แดงทำสัญญาเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวหนึ่งคูหา มีกำหนดเวลา 2 ปี สัญญาเช่าข้อ 5 มีข้อความว่า “ผู้เช่าได้ให้เงินประกันสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่าไว้แล้วเป็นเงิน 70,000 บาท หากสัญญาเช่าครบกำหนด 2 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันสัญญาแก่ผู้เช่า” และในสัญญาข้อ 6 มีข้อความว่า “หากสัญญาเช่าครบกำหนด 2 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะให้ผู้เช่า เช่าต่อไปอีก 2 ปี” ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขาวเช่าตึกแถวนี้มาเพียง 6 เดือนเท่านั้นเอง
แดงได้ยกตึกที่เช่าซึ่งแดงเป็นเจ้าของให้กับมืดโดยชอบด้วยกฎหมาย ครั้นการเช่าตึกแถวครบกำหนด 2 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 30 กันยายน 2553 มืดกลับเรียกตึกแถวคืนทันทีจากขาวในวันที่ 3 ตุลาคม 2553 ขาวเรียกให้มืดปฏิบัติตามสัญญาข้อ 5 และข้อ 6 มืดไม่ยอมปฏิบัติตามเลย ให้ท่านวินิจฉัยว่า การกระทำของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 538 เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี
มาตรา 569 อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า
ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย
วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้บัญญัติเอาไว้ว่า ถ้าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ไม่ทำให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทำให้ผู้รับโอนรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย
ตามอุทาหรณ์ สัญญาเช่าตึกแถวระหว่างแดงกับขาวมีกำหนดเวลา 2 ปี เมื่อทำสัญญาเป็นหนังสือจึงใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ตามมาตรา 538 เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าผ่านไป 6 เดือน แดงได้ยกตึกแถวคูหานี้ให้กับมืดโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ย่อมไม่ทำให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปตาม มาตรา 569 วรรคแรก โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย กล่าวคือ มืดต้องให้ขาวเช่าอยู่ในตึกแถวนั้นต่อไปจนครบกำหนด 2 ปี ตามสัญญาเช่าตามมาตรา 569 วรรคสอง
และเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนด 2 ปี มืดได้เรียกตึกแถวนั้นคืนจากขาว แต่ขาวได้เรียกให้มืดปฏิบัติตามสัญญาข้อ 5 และข้อ 6 นั้น ดังนี้สัญญาข้อ 5 มืดไม่ต้องรับมาเพราะเป็นสิทธิและหน้าที่อย่างอื่นนอกเหนือจากสัญญาเช่า ส่วนสัญญาข้อ 6 ก็เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามคำมั่นซึ่งเป็นบุคคลสิทธิผูกพันเฉพาะระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า เพราะคำมั่นไม่ใช่สัญญา มืดจึงไม่ต้องรับคำมั่นจะให้เช่าดังกล่าวมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นการที่มืดปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาข้อ 5 และข้อ 6 จึงชอบด้วยกฎหมาย
สรุป การกระทำของมืดชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 2
(ก) เหลืองทำสัญญาเป็นหนังสือให้ม่วงเช่ารถบรรทุกมีกำหนดเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป โดยตกลงจ่ายค่าเช่าทุกๆวันสิ้นเดือน เดือนละ 25,000 บาท ม่วงได้ให้ค่าเช่าล่วงหน้าในวันทำสัญญาเช่าเป็นเงิน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาท) ปรากฏว่าม่วงไม่ได้ชำระค่าเช่าเลยตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 มาจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้น ในวันที่ 16 ตุลาคม 2553 เหลืองจึงบอกเลิกสัญญากับม่วงทันที ให้ท่านวินิจฉัยว่าการกระทำของเหลืองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คำตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 560 ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้
แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกำหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน
วินิจฉัย
ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติเอาไว้ว่า ถ้าการชำระค่าเช่ากำหนดชำระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่า ชำระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชำระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้
ตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าทรัพย์ระหว่างเหลืองกับม่วงตกลงชำระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน แม้จะปรากฏว่าม่วงผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าติดต่อกันนานถึง 5 เดือน (ค่าเช่าล่วงหน้า 100,000 บาท ใช้ได้เพียง 4 เดือนแรก) เหลืองก็จะบอกเลิกสัญญาเช่าในทันทีไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ม่วงนำค่าเช่ามาชำระก่อนโดยให้เวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน ดังนั้นการกระทำของเหลืองจึงมิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 560
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 574 วรรคแรก ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย
วินิจฉัย
ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ม่วงผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าติดต่อกัน 5 เดือนนั้น ถือเป็นกรณีที่ผู้เช่าไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกันแล้ว ดังนั้นเหลืองผู้ให้เช่าซื้อจึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีตามมาตรา 574 วรรคแรก การกระทำของเหลืองจึงชอบด้วยกฎหมาย
สรุป
(ก) การกระทำของเหลืองไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(ข) การกระทำของเหลืองชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 3 หนึ่งทำสัญญาจ้างสองให้ก่อสร้างโรงงาน มีกำหนดเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2554 โดยตกลงชำระสินจ้างให้เป็นงวดๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาจ้างตามความสำเร็จของงาน สองได้ทำสัญญาจ้างสามเป็นหัวหน้าคนงานมีกำหนดเวลา 2 ปีเช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2554 โดยตกลงชำระสินจ้างเดือนละ 10,000 บาท ทุกๆวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2552 หนึ่งได้ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาก่อสร้างโรงงานโดยอ้างว่า เศรษฐกิจไม่ดีหุ้นส่วนขอยกเลิกการลงทุน สองจึงบอกเลิกสัญญาจ้างสามในวันที่ 30 มิถุนายน 2552 เช่นกัน เพราะหนึ่งได้บอกเลิกสัญญากับสองแล้ว จากข้อเท็จจริงดังกล่าว
(ก) หนึ่งบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างโรงงานกับสองได้หรือไม่
(ข) สองบอกเลิกสัญญาจ้างสามได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 587 อันว่าจ้างทำของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น
มาตรา 605 ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น
วินิจฉัย
โดยหลัก ในเรื่องสัญญาจ้างทำของนั้น ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ ที่เกิดจากการเลิกสัญญานั้นให้กับผู้รับจ้าง (มาตรา 605)
ตามอุทาหรณ์ สัญญาจ้างก่อสร้างโรงงานดังกล่าว เป็นกรณีที่ผู้รับจ้างคือสอง ตกลงรับจะทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้กับหนึ่งผู้ว่าจ้าง และหนึ่งตกลงจะให้สินจ้างเพื่อความสำเร็จของงานที่ทำนั้น จึงเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา 587 เมื่อปรากฏตามข้อเท็จจริงว่าวันที่ 1 มิถุนายน 2552 ในขณะที่โรงงานยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ หนึ่งผู้ว่าจ้างได้ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างโรงงานดังกล่าวกับสอง ดังนี้ถือว่าหนึ่งสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้ แต่ต้องเสียค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใดๆที่เกิดขึ้นจากการยกเลิกสัญญานั้นให้แก่สองด้วย ตามมาตรา 605
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 575 อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้
วินิจฉัย
โดยหลัก ในเรื่องสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 ถ้าเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มีกำหนดเวลาแน่นอน สัญญานั้นย่อมระงับลงเมื่อครบกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งถ้าฝ่ายลูกจ้างมิได้ทำผิดสัญญาตามกฎหมายจ้างแรงงาน หรือผิดสัญญาตามที่ตกลงกันไว้ นายจ้างจะบอกเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกำหนดเวลาดังกล่าวไม่ได้
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สองจ้างสามเป็นหัวหน้าคนงาน โดยตกลงจ่ายสินจ้างให้ตลอดเวลาที่สามทำงานให้ จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 เมื่อสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวมีกำหนดเวลา 2 ปี จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มีกำหนดเวลาแน่นอน ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าสามได้ทำผิดสัญญาตามกฎหมายจ้างแรงงาน หรือผิดสัญญาตามที่ได้ตกลงกันไว้แต่อย่างใด และการจ้างก็ยังไม่ครบกำหนดเวลา 2 ปี สองจึงบอกเลิกสัญญาจ้างสามในวันที่ 30 มิถุนายน 2552 ไม่ได้
สรุป
(ก) หนึ่งบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างโรงงานกับสองได้
(ข) สองบอกเลิกสัญญาจ้างสามไม่ได้