การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 แดงทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าบ้านมีกำหนดเวลา 6 ปี สัญญาเช่าข้อสุดท้ายมีข้อความว่า “ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่าอีกเป็นระยะเวลา 6 ปี เมื่อสัญญาเช่าครบ 6 ปีแล้ว หากเป็นความประสงค์ของผู้เช่า” ขาวเช่าบ้านหลังนี้มาได้เพียง 4 เดือน แดงได้ยกบ้านหลังนี้ให้มืดบุตรชายของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย ขาวเช่าบ้านหลังนี้มาจนครบ 6 ปี ซึ่งสัญญาเช่าสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2550 แต่ขาวได้แจ้งให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าให้ในวันที่ 15 ธันวาคม 2550 ตามสัญญาข้อสุดท้าย
ดังนี้ ขาวจะบังคับให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าบ้านให้อีก 6 ปี ตามสัญญาเช่าข้อสุดท้ายได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 538 เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี
มาตรา 569 อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า
ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย
วินิจฉัย
สัญญาเช่าบ้านระหว่างแดงกับขาวได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นการเช่าที่มีกำหนดเวลากว่าสามปีขึ้นไป ดังนั้นสัญญาเช่าบ้านดังกล่าวใช้บังคับได้ 6 ปี ตามมาตรา 538
ส่วนเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินซึ่งให้เช่า ถ้าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ไม่ทำให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทำให้ผู้รับโอนย่อมรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย ตามมาตรา 569
กรณีตามอุทาหรณ์ ขาวเช่าบ้านหลังนี้มาได้เพียง 4 เดือน แดงได้ยกบ้านหลังนี้ให้กับมืดบุตรชายของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่นนี้ถือว่าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่าและขาวผู้เช่าไม่ระงับสิ้นไป ตามมาตรา 569 วรรคแรก แต่มืดผู้รับโอนบ้านจากบิดาจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของบิดาซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย กล่าวคือ มืดต้องให้ขาวเช่าอยู่ต่อไปจนครบ 6 ปี ตามสัญญาเช่า ตามมาตรา 569 วรรคสอง
แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาเช่าข้อสุดท้ายที่มีข้อความว่า “ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่าอีกเป็นระยะเวลา 6 ปี เมื่อสัญญาเช่าครบ 6 ปีแล้ว หากเป็นความประสงค์ของผู้เช่า” ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นเพียงคำมั่นที่ผู้พันเฉพาะคู่สัญญา ไม่ถือว่าเป็นการเช่า คำมั่นจะให้เช่าดังกล่าวจึงต้องระงับไปกับการสิ้นสุดสัญญาเช่า ไม่โอนไปยังผู้รับโอนอสังหาริมทรัพย์ด้วยแต่อย่างใด หน้าที่ที่มืดจะต้องรับมาคือหน้าที่ตามสัญญาเช่าเท่านั้น หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามคำมั่นไม่ใช้หน้าที่ตามสัญญาเช่า มืดผู้รับโอนจึงไม่ต้องผูกพัน ดังนั้น ขาวจึงบังคับให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าบ้านให้อีก 6 ปี ตามสัญญาเช่าข้อสุดท้ายไม่ได้ (ฎ. 6763/2541)
สรุป ขาวบังคับมืดไม่ได้
ข้อ 2 ก. เขียวทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่าที่ดินมีกำหนดเวลา 4 ปี โดยตกลงชำระค่าเช่าทุกๆวันสิ้นเดือนๆละ 10,000 บาท เหลืองเช่าที่ดินมาเพียง 1 ปี ครั้นขึ้นปีที่ 2 เหลืองมิได้ชำระค่าเช่าซึ่งเป็นค่าเช่าสำหรับเดือนมกราคมและเดือนมีนาคม 2551 แต่เหลืองชำระค่าเช่าเฉพาะของเดือนกุมภาพันธ์ 2551 เท่านั้น เขียวรอรับค่าเช่าจากเหลืองมาจนถึงวันที่ 5 เมษายน 2551 เหลืองก็มิได้ชำระค่าเช่าที่ยังไม่ชำระดังกล่าว ครั้นวันที่ 20 เมษายน 2551 เขียวจึงบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินกับเหลืองทันทีและบอกให้เหลืองส่งมอบที่ดินคืนภายในวันที่ 30 เมษายน 2551 การกระทำของเขียวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ข. ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ ก. เป็นสัญญาเช่าซื้อ คำตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
ก
มาตรา 560 ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้
แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกำหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน
วินิจฉัย
การบอกเลิกสัญญาเช่าในกรณีที่ผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า มีกำหนดไว้ในมาตรา 560 กล่าวคือ ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่ถ้าชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เช่น รายสองเดือนหรือรายปี ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชำระไม่น้อยกว่า 15 วัน จึงจะบอกเลิกสัญญาได้ ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้ ดังนั้นการเช่าที่ต้องชำระค่าเช่าเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ ถ้าผู้เช่าไม่ชำระ ผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที
กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาเช่าที่ดินระหว่างเขียวและเหลือง มีการตกลงชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน การที่เหลืองผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าเดือนมกราคมและเดือนมีนาคม 2551 ยังไม่ทำให้เขียวเกิดสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวได้ เพราะกรณีดังกล่าวต้องตามบทบัญญัติมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้นเขียวจึงต้องบอกกล่าวให้เหลืองนำค่าเช่ามาชำระก่อน ซึ่งจะต้องให้เวลาอย่างน้อย 15 วัน เขียวผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีในวันที่ 20 เมษายน 2551 ไม่ได้เมื่อเขียวบอกเลิกสัญญาเช่าทันที ทำให้การบอกเลิกสัญญาของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข.
มาตรา 574 วรรคแรก ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย
วินิจฉัย
ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ ก. เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่เหลืองผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเดือนมกราคมและเดือนมีนาคม แต่ชำระเดือนกุมภาพันธ์นั้น เขียวก็บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ได้เช่นกัน เพราะมิใช่การผิดนัดไม่ใช้เงิน 2 คราวติดกัน กล่าวคือ มิได้ผิดนัด 2 เดือนติดต่อกัน ตามมาตรา 574 วรรคแรก การที่เขียวบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีในวันที่ 20 เมษายน 2551 จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สรุป ก. การกระทำของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข. การกระทำของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน คำตอบจึงไม่แตกต่างกัน
ข้อ 3 ก. น้ำเงินจ้างให้ม่วงมาเป็นลูกจ้างแผนกจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าของน้ำเงิน สัญญาจ้างตกลงชำระสินจ้างทุกๆวันสิ้นเดือน เดือนละ 8,000 บาท มีกำหนดเวลา 1 ปี ถ้าหากครบกำหนด 1 ปีแล้ว หากลูกจ้างยังคงทำงานไปเรื่อยๆ น้ำเงินจะจ่ายค่าจ้างให้อีก 1,000 บาท เพิ่มจากค่าจ้าง 8,000 บาท ม่วงทำงานมาจนครบ 1 ปี ในวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ม่วงทำงานต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้และได้รับค่าจ้างมาเรื่อยๆ ในวันที่ 10 เมษายน 2551 น้ำเงินบอกเลิกจ้างม่วงและให้ม่วงออกจากงานไปเลย ม่วงจะต้องได้รับสินจ้างเท่าใดจึงจะชอบด้วยกฎหมาย
ข. ดำว่าจ้างให้แสดสร้างบ้านให้หนึ่งหลังตกลงชำระสินจ้างเมื่อสร้างบ้านเสร็จเป็นเงิน 3 ล้านบาท แต่ตกลงจ่ายเงินเป็นงวดๆ งวดละ 1 แสนบาท เมื่อแสดเริ่มเข้าทำงานก่อสร้างบ้าน แสดไปดำเนินการปรับพื้นที่ดินแลได้วางผังสำหรับตอกเสาเข็มไว้เรียบร้อยแล้ว ดำเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากจ้างแสดทำงานต่อไป ดำจึงบอกเลิกสัญญาจ้างทันทีโดยที่แสดมิได้ผิดสัญญาเลย ท่านเห็นว่าการกระทำของดำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด
ธงคำตอบ
ก.
มาตรา 582 ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้ แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน
อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดั่งว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว แล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทำได้
วินิจฉัย
สัญญาจ้างม่วงเป็นลูกจ้างมีกำหนดเวลา 1 ปี ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2549การที่ม่วงทำงานต่อมาจนถึงปัจจุบันและได้รับค่าจ้างเรื่อยมา จึงเป็นกรณีที่ลูกจ้างทำงานอยู่ต่อไปและนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วง (มาตรา 581) ถือว่าคู่สัญญาตกลงทำสัญญาจ้างกันใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกสัญญาก็ได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 582
ดังนั้นการที่น้ำเงินบอกเลิกจ้างม่วงและให้ม่วงออกจากงานไปเลยในวันที่ 10 เมษายน 2551 เป็นการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 582 จึงถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การบอกเลิกจ้างของม่วงในวันที่ 10 เมษายน 2551 ตามมาตรา 582 วรรคแรกให้ถือว่าเป็นการบอกเลิกก่อนชำระสินจ้างในวันที่ 30 เมษายน 2551 ซึ่งจะเป็นผลเลิกสัญญาในวันที่ 31 พฤษภาคม 2551
แต่อย่างไรก็ดีน้ำเงินจะให้ม่วงออกจากงานไปเลยในวันที่ 10 เมษายน 2551 ก็ได้ แต่ต้องจ่ายสินจ้างที่ต้องจ่ายในเดือนเมษายน 2551 เป็นเงิน 9,000 บาท และอีก 9,000 บาท สำหรับงวดการจ่ายสินจ้างในวันที่ 31 พฤษภาคม รวมเป็นเงิน 18,000 บาท แล้วให้ออกจากงานไปทันทีได้เลย ตามมาตรา 582 วรรคสอง
ข.
มาตรา 605 ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น
วินิจฉัย
สัญญาจ้างทำของนั้นตามมาตรา 605 ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้เสมอ แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้าง เมื่อดำจ้างแสดให้สร้างบ้าน โดยแสดได้ดำเนินการปรับพื้นที่ดินและได้วางผังสำหรับตอกเสาเข็ม ถือการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จ ตามมาตรา 605 ดำจึงบอกเลิกสัญญาจ้างได้ทันที แม้แสดมิได้ผิดสัญญาเลยก็ตาม
แต่ดำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบอกเลิกสัญญานั้นให้แก่แสดด้วย
ดังนั้นการบอกเลิกสัญญาจ้างทันทีของดำชอบด้วยกฎหมายแล้ว
สรุป ก. ม่วงจะต้องได้รับสินจ้าง 18,000 บาท แล้วออกจากงานไปทันที จึงจะชอบด้วยกฎหมาย
ข. การกระทำของดำชอบด้วยกฎหมาย แต่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน