การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 อย่างไรเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน (มาตรา 137) จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขปและยกตัวอย่างประกอบ
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 137 ผู้ใดแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายต้องระวางโทษ
อธิบาย
ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137 นี้ สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2 แก่เจ้าพนักงาน
3 ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
4 โดยเจตนา
แจ้งข้อความ หมายถึง การกระทำด้วยประการใดๆให้เจ้าพนักงานได้ทราบข้อเท็จจริงนั้น อาจกระทำโดยวาจา โดยการเขียนเป็นหนังสือ หรือโดยการแสดงกิริยาท่าทางอย่างใดก็ได้
ข้อความอันเป็นเท็จ หมายถึง ข้อความที่นำไปแจ้งไม่ตรงกับความจริงหรือตรงข้ามกับความจริง เช่น นาย ก ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาว ข โดยแจ้งต่อนายอำเภอว่าไม่เคยมีภริยาหรือจดทะเบียนสมรสมาก่อน ทั้งๆที่นาย ก มีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว คือ นาง ค เช่นนี้เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าหากเป็นเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเป็นเรื่องไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะว่าเป็นข้อความเท็จยังไม่ได้
การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137 นี้อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณีคือ
(ก) ผู้แจ้งไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานเอง
(ข) โดยตอบคำถามที่เจ้าพนักงานเรียกไปสอบสวนเป็นพยานก็ได้
อนึ่งการแจ้งข้อความอันเป็นจริงบางส่วนและเท็จบางส่วน ก็ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแล้ว เช่น ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยกรอกข้อความอื่นเป็นความจริง แต่ในช่องสัญชาติของบิดากรอกว่า บิดาเป็นไทย ความจริงเป็นจีน ซึ่งเป็นเท็จไม่หมด ก็ถือว่าแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา 137 นี้แล้ว
สำหรับการฟ้องเท็จในคดีแพ่งหรือการยื่นคำให้การเท็จในคดีแพ่ง ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เป็นแต่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามมาตรา 137 (ฎ. 1274/2513)
ส่วนในคดีอาญา ผู้ต้องหาชอบที่จะให้การแก้ตัวต่อสู้คดีอย่างใดก็ได้ เพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือจะไม่ยอมให้การเลยก็ได้ แม้คำให้การของผู้ต้องหาจะเป็นเท็จ หรือให้การไปโดยเชื่อว่าตนเองอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ แม้ต่อมาจะได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้กระทำผิด ก็ยังถือว่าเป็นคำให้การในฐานะผู้ต้องหาอยู่ (ฎ.1093/2522) แต่ถ้าจำเลยได้แจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานก่อนที่จะตกเป็นผู้ต้องหาไม่ถือว่าให้การในฐานะผู้ต้องหา จึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
การแจ้งข้อความเท็จที่จะถือว่าเป็นความผิดสำเร็จนั้น เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งต้องได้ทราบข้อความนั้นด้วย แม้ว่าจะไม่เชื่อเพราะรู้ความจริงอยู่แล้วก็ตาม แต่ถ้าเจ้าพนักงานไม่ทราบข้อความนั้น เช่น เจ้าพนักงานไม่ได้ยิน หรือได้ยินแต่กำลังหลับในอยู่ไม่รู้เรื่อง หรือไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศที่แจ้ง เช่นนี้ยังไม่เป็นความผิดสำเร็จ เป็นเพียงความผิดฐานพยายามแจ้งความเท็จเท่านั้น
“แก่เจ้าพนักงาน” เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งข้อความตามมาตรานี้ ต้องมีอำนาจหน้าที่รับแจ้งข้อความและดำเนินการตามเรื่องราวที่แจ้งความนั้น และต้องกระทำการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายด้วย เช่น นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น ดังนั้นถ้าเจ้าพนักงานนั้นไม่มีหน้าที่ในการรับแจ้งข้อความหรือเรื่องที่แจ้งนั้นไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการได้ ก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
“ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย” การแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อการแจ้งนั้นอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ดังนั้นถ้าไม่อาจก่อให้เกิดความเสียหายใดๆย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ อนึ่งกฎหมายใช้คำว่า “อาจทำให้เสียหาย” จึงไม่จำเป็นต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆเพียงแต่อาจเสียหายก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทำจะต้องกระทำด้วยเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือ ผู้แจ้งจะต้องรู้ว่าข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ และต้องรู้ว่าบุคคลที่ตนแจ้งนั้นเป็นเจ้าพนักงานด้วย ถ้าผู้แจ้งไม่รู้ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
ตัวอย่างความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137
นายเอกมีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย คือ นางโท หลังจากนั้นนายเอกยังได้ไปจดทะเบียนกับ น.ส.ตรีอีก โดยแจ้งต่อนายอำเภอว่าไม่เคยมีภริยามาก่อนและไม่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน ซึ่งทั้งนางโทและ น.ส.ตรี ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลย เช่นนี้จะเห็นว่านายเอกแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ต่อนายอำเภอซึ่งเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการรับแจ้งจดทะเบียนสมรส ซึ่งกระทำโดยเจตนา เพราะนายเอกรู้ว่านายอำเภอเป็นเจ้าพนักงานและรู้ว่าข้อความที่แจ้งเป็นเท็จ หากนายอำเภอรับจดทะเบียนสมรสให้ก็อาจจะทำให้นางโทและ น.ส.ตรีเสียหายแก่เกียรติยศหรือชื่อเสียงได้ นายเอกจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามมาตรา 137
แต่ถ้านายเอกและนางโทได้จดทะเบียนหย่ากันแล้ว ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับไม่มีคู่สมรส ดังนี้ การที่นายเอกไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าตนเคยมีภริยามาแล้ว แต่ไม่เคยจดทะเบียนสมรส จึงไม่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ (ฎ.1237/2544)
ข้อ 2 ร.ต.อ.ประจักษ์ พนักงานสอบสวน สอบสวนนายกระสือผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ นายกระสือไม่รับสารภาพพูดจากวนประสาท ร.ต.อ.ประจักษ์โกรธจึงตบที่กกหูและต่อยที่ท้องของนายกระสือ พร้อมทั้งพูดว่ามึงจะรับหรือไม่รับ เดี๋ยวโดนอีกชุด รับสารภาพซะ จะเจ็บตัวทำไม ดังนี้ ร.ต.อ.ประจักษ์จะมีความผิดอาญาฐานใด หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1 เป็นเจ้าพนักงาน
2 ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3 เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4 โดยเจตนา
เป็นเจ้าพนักงาน หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน
ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมายถึง การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตำรวจทำการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตำรวจจึงใช้กำลังชกต่อยให้รับสารภาพ เป็นต้น
ซึ่งการจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้นั้นจะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทำ “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทำนั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว
โดยเจตนา หมายความว่า ผู้กระทำต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทำต้องปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ร.ต.อ.ประจักษ์ พนักงานสอบสวน ทำการสอบสวนนายกระสือผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ แต่นายกระสือไม่รับสารภาพและพูดจากวนประสาท ทำให้ ร.ต.อ.ประจักษ์โกรธจึงได้ใช้กำลังชกต่อยและพูดจาข่มขู่ให้นายกระสือรับสารภาพนั้น ถือได้ว่า ร.ต.อ.ประจักษ์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ จึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่นายกระสือ และได้กระทำไปโดยมีเจตนา การกระทำของ ร.ต.อ.ประจักษ์จึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ ดังนั้น ร.ต.อ.ประจักษ์จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
สรุป ร.ต.อ.ประจักษ์ มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ข้อ 3 นายแก้วโกรธภริยา จึงวางเพลิงเผาแพที่อยู่อาศัยของตนเอง เพลิงลุกไหม้และลุกลามกำลังจะไหม้ถึงแพของคนอื่นที่อยู่ติดกัน แต่บังเอิญชาวบ้านเห็นเข้าจึงช่วยกันดับทัน เพลิงจึงไหม้แต่แพของนายแก้ว ดังนี้ นายแก้วมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใดหรือไม่
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 217 ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ
มาตรา 220 ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆแม้เป็นของตนเอง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 218 ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 218
วินิจฉัย
ความผิดตามมาตรา 217 ดังกล่าว แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1 วางเพลิงเผา
2 ทรัพย์ของผู้อื่น
3 โดยเจตนา
และความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุฯ ตามมาตรา 220 วรรคแรก มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้
1 กระทำให้เกิดเพลิงไหม้
2 แก่วัตถุใดๆแม้เป็นของตนเอง
3 จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่น
4 โดยเจตนา
กระทำให้เกิดเพลิงไหม้ หมายถึง เผาวัตถุใดๆให้ลุกไหม้ขึ้นมา ซึ่งถ้าเพลิงยังไม่ลุกไหม้ขึ้นมา ก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น จึงไม่ผิดตามมาตรานี้
แก่วัตถุใดๆแม้เป็นของตนเอง หมายถึง กระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุ ซึ่งวัตถุในที่นี้อาจจะเป็นทรัพย์ก็ได้ หรือไม่ใช่ทรัพย์ก็ได้ เป็นวัตถุของใครก็ได้ หรือเป็นวัตถุที่ไม่มีเจ้าของก็ได้ และแม้ว่าวัตถุนั้นจะเป็นของตนเองก็ตาม
จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่น หมายถึง พฤติการณ์ของการกระทำไม่ใช่ผลของการกระทำ กล่าวคือ เพียงแต่มีเจตนากระทำให้เกิดเพลิงไหม้ แก่วัตถุ และเพลิงไหม้นั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่นก็เป็นความผิดตามมาตรานี้แล้ว
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแก้วโกรธภริยาจึงได้วางเพลิงเผาแพที่อยู่อาศัยของตนเอง จนเกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นโดยเจตนา และกำลังลุกลามไปไหม้แพของคนอื่นที่อยู่ติดกันนั้น นายแก้วไม่มีความผิดตามมาตรา 217 เพราะไม่ได้เป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนายแก้วได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุแม้เป็นของตนเองโดยเจตนา จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ดังนั้นการกระทำของนายแก้วจึงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 220 วรรคแรก นายแก้วจึงมีความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุฯ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทรัพย์ของผู้อื่นนั้นจะเป็นแพที่คนอยู่อาศัย ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ระบุไว้ในมาตรา 218 ก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าการกระทำของนายแก้วดังกล่าวได้ทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่แพที่อยู่อาศัยของคนอื่นแต่อย่างใด นายแก้วจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 220 วรรคสอง
สรุป นายแก้วไม่มีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นตามมาตรา 217 แต่มีความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุฯ ตามมาตรา 220 วรรคแรก
ข้อ 4 นายแดงไม่เคยกู้เงินนาย ก วันเกิดเหตุ นาย ก นำกระดาษแผ่นหนึ่ง เขียนข้อความว่า “นายแดงกู้เงินนาย ก 100,000 บาท” จากนั้น ได้เซ็นชื่อนายแดงในช่องผู้กู้ ต่อมานาย ก ทำเอกสารฉบับนั้นหายไป จำเลยเป็นคนเก็บได้ จำเลยแก้ไขข้อความคำว่า “นาย ก” เป็นคำว่า “จำเลย” ข้อความจึงกลายเป็นว่า “นายแดงกู้เงินจำเลย 100,000 บาท” ดังนี้ จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 264 วรรคแรก ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารต้องระวางโทษ
มาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษ
มาตรา 268 ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย
1 กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(ก) ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2 โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3 ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4 โดยเจตนา
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก นำกระดาษมาเขียนสัญญากู้ขึ้นเอง โดยที่นายแดงไม่เคยกู้เงินจากนาย ก เลยนั้น ถือเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ เอกสารการกู้ยืมเงินดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิปลอม
และการที่จำเลยเก็บเอกสารฉบับนั้นได้ และได้แก้ไขข้อความจากคำว่า “นาย ก” เป็นคำว่า “จำเลยนั้น” ถึงแม้จำเลยจะไม่มีอำนาจที่จะกระทำก็ตาม แต่การแก้ไขของจำเลยดังกล่าวเป็นการแก้ไขข้อความในเอกสารที่มีการปลอมมาก่อน ซึ่งกรณีจะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารได้นั้นจะต้องเป็นการแก้ไขข้อความในเอกสารที่แท้จริงเท่านั้น ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบของความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265
เมื่อจำเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร ถึงแม้จำเลยจะนำเอกสารดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากนายแดง จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268
สรุป จำเลยไม่มีความผิดเกี่ยวกับเอกสาร