การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2007 กฎหมายอาญา 2

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

Advertisement

ข้อ  1  สิบตำรวจตรีดำออกตรวจท้องที่พบเห็นนายขาวฆ่าคนตายโดยเจตนา  แต่สิบตำรวจตรีดำไม่ยอมจับกุมนาย  ก  จึงยื่นเงินให้สิบตำรวจดำ  10,000  บาท  เพื่อให้จับสิบตำรวจตรีดำรับเงินมาแล้วจึงจับกุมนายขาวส่งสถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดี  ดังนี้  สิบตำรวจตรีดำมีความผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่  เพราะเหตุใด

 ธงคำตอบ

มาตรา  149  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  สมาชิกนิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล  เรียกรับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ  หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด  ในตำแหน่งไม่ว่าการนั้น  จะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน  ตามมาตรา  149  สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       เป็นเจ้าพนักงาน  สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภาเทศบาล

2       เรียก  รับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ

3       เพื่อกระทำการ  หรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่

4       โดยเจตนา

เรียก  หมายถึง  การที่เจ้าพนักงานฯแสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้

รับ  หมายถึง  การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ  และเจ้าพนักงานฯได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

ยอมจะรับ  หมายถึง  การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ  และเจ้าพนักงานฯ  ตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต  แต่ยังไม่ได้รับ

การเรียก  รับ  หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด  จะเป็นความผิดตามมาตรานี้  ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง  คือ

(ก)  เพื่อกระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่

(ข)  เพื่อไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่

การที่นาย  ก  ยื่นเงิน  10,000  บาท  ให้สิบตำรวจตรีดำ  เพื่อให้จับนายขาวและสิบตำรวจตรีรับเงินแล้ว  จับกุมนายขาวส่งสถานีตำรวจถือได้ว่าเป็นการรับทรัพย์สินเพื่อกระทำการอย่างใดในตำแหน่ง  ซึ่งได้กระทำโดยเจตนา  การกระทำของสิบตำรวจตรีดำจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา  149  แม้ว่าการจับกุมนายขาวจะชอบด้วยหน้าที่ก็ตาม

สรุป  สิบตำรวจตรีดำมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา  149

 

ข้อ  2  นางแดงลักทรัพย์ของนายเขียว  นายเขียวจึงฟ้องนางแดง  แต่แทนที่จะฟ้องนางแดงว่าลักทรัพย์กลับฟ้องต่อศาลว่านางแดงชิงทรัพย์  ในชั้นพิจารณาของศาลนายเขียวได้อ้างตนเองเป็นพยานและเข้าเบิกความต่อศาลว่านางแดงชิงทรัพย์ของตน  ดังนี้  นายเขียวมีความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรมอย่างไรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  175  ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา  หรือว่ากระทำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นจริง  ต้องระวางโทษ

มาตรา 177  ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล  ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี  ต้องระวางโทษ  ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก  ได้กระทำในการพิจารณาคดีอาญา  ผู้กระทำต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  นายเขียวมีความผิดฐานฟ้องเท็จหรือไม่  เห็นว่า  องค์ประกอบความผิดฐานฟ้องเท็จ  ตามมาตรา  175  สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       เอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาล

2       ว่ากระทำความผิดอาญา  หรือว่ากระทำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง

3       โดยเจตนา

นางแดงลักทรัพย์นายเขียว  แต่นายเขียวฟ้องนางแดงต่อศาลว่าชิงทรัพย์จึงเป็นการเอาข้อความที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง  อันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญาร้ายแรงกว่าที่เป็นจริง  กล่าวคือ  ความผิดอาญาฐานชิงทรัพย์เป็นการกระทำลักทรัพย์กับทำร้ายร่างกายมีโทษหนักกว่าความผิดฐานลักทรัพย์  และได้กระทำโดยมีเจตนา  นายเขียวจึงมีความผิดฐานฟ้องเท็จ  ตามมาตรา  175  เพราะการกระทำของนายเขียวครบองค์ประกอบความผิดตามที่กล่าวไว้ข้างต้นทุกประการ

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  การที่นายเขียวเบิกความต่อศาลในฐานะพยานว่า  นางแดงชิงทรัพย์ของตนนั้น  จะมีความผิดฐานเบิกความเท็จหรือไม่  เห็นว่า  องค์ประกอบความผิดฐานเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล  ตามมาตรา  177  วรรคสอง  ประกอบด้วย

1       เบิกความอันเป็นเท็จ

2       ในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล

3       ความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี

4       โดยเจตนา

การที่นายเขียวได้อ้างตนเป็นพยานและเข้าเบิกความต่อศาลว่านางแดงชิงทรัพย์ของตน  จึงเป็นการให้ถ้อยคำแก่ศาลในการพิจารณาคดีอาญาในฐานะพยาน  ซึ่งข้อความที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง  ถือได้ว่าเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จ  เมื่อความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี  เพราะเป็นข้อความที่อาจมีน้ำหนักในการวินิจฉัยคดีของศาลหรือข้อความในประเด็นที่อาจทำให้คดีแพ้หรือชนะและนายเขียวรู้ว่าความที่จะเบิกนั้นเป็นเท็จด้วย  ถือได้ว่ามีเจตนากระทำผิด  ดังนั้นนายเขียวจึงมีความผิดอาญาฐานเบิกความเท็จในคดีอาญา  ตามมาตรา  177  วรรคสอง  อีกกระทงหนึ่งด้วย

สรุป  นายเขียวมีความผิดฐานฟ้องเท็จ  ตามมาตรา  175  และมีความผิดฐานเบิกความเท็จคดีอาญา  ตามมาตรา  177  วรรคสอง  อีกกระทงหนึ่ง

 

ข้อ  3  นายหนึ่ง  นายสอง  นายสาม  นายสี่และเด็กชายห้า  อายุ  10  ปี  ได้ประชุมปรึกษาหารือกันว่าจะไปปล้นทรัพย์ที่บ้านนายดี  นายสองคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการกระทำครั้งนี้  และไม่ไปบ้านนายดีในวันนัด  ส่วนหนึ่ง  นายสาม  นายสี่  และเด็กชายห้าได้ไปปล้นทรัพย์ตามแผนการดังกล่าว  ดังนี้  บุคคลทั้งห้ามีความผิดอาญาฐานใดบ้าง

ธงคำตอบ

มาตรา  73  เด็กอายุยังไม่เกินสิบปี  กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด  เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  210  วรรคแรก  ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป  เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค  2  นี้  และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

ความผิดฐานเป็นซ่องโจร  ตามมาตรา  210  วรรคแรก  แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1       สมคบกัน

2       ตั้งแต่  5  คนขึ้นไป

3       เพื่อกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค  2  นี้  และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป

4       โดยเจตนา

การสมคบกัน  ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ  2  ประการ  คือ

(ก)  จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน  และ

(ข)  จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทำความผิด

ดังนั้นถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปย่อมไม่ถือว่าเป็นการสมคบกัน  เช่น  ก  ข  ค  ง  และ  จ  ทั้ง  5  คน  ได้ประชุมปรึกษากันแล้ว  แต่ไม่ตกลงว่าจะกระทำความผิด  กรณีนี้ไม่ถือว่า  สมคบกัน

การสมคบกันนั้น  จะต้องสมคบกัน  ตั้งแต่  5  คนขึ้นไป  จึงจะเป็นความผิด  ดังนั้นจะมากกว่า  5  คน  หรือ  5  คนพอดี  ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว  แต่ถ้าต่ำกว่าห้าคนแล้วไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร  เช่น  ปรึกษาหารือกัน  5  คน  แต่ปรากฏว่ามีการคบคิดและตกลงปลงใจร่วมกันที่จะกระทำความผิดเพียง  4  คน  ดังนี้ยังไม่ถือว่าผิดฐานซ่องโจรเพราะเป็นการสมคบกันเพียง  4  คนเท่านั้น

เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค  2  หมายความว่า  ความผิดนั้นต้องเป็นความผิดตามภาค  2  ได้แก่  ความผิดตั้งแต่มาตรา  107  เช่น  ลักทรัพย์  ชิงทรัพย์  ปล้นทรัพย์  ฆ่าคนตาย  เป็นต้น

ความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งขึ้นไป  หมายความว่า  เป็นอัตราโทษอย่างสูงที่ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ  ซึ่งมิใช่โทษที่ศาลจะลงแก่ผู้กระทำความผิดทั้งนี้จะต้องมีกำหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

โดยเจตนา  หมายความว่า  รู้สำนึกว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค  2  แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่จะกระทำนั้นมีโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปหรือไม่

ตามอุทธาหรณ์  บุคคลทั้งห้าได้ปรึกษาหารือกันจะไปปล้นทรัพย์ที่บ้านนายดี  แต่นายสองคัดค้านไม่เห็นด้วยและไม่ยอมไปในวันนัด  แสดงว่านายสองไม่ได้ตกลงด้วยกับอีก  4  คน  จึงไม่เรียกว่าร่วมสมคบด้วย  เพราะคำว่าสมคบในความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา  210  นั้นหมายความว่ามีบุคคลหลายคนร่วมปรึกษาหารือและตกลงกันเพื่อจะกระทำความผิด  กรณีนี้ผู้ที่สมคบกันจึงมีเพียง  4  คน  จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานเป็นซ่องโจร  แต่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์

ดังนั้น  นายหนึ่ง  นายสาม  นายสี่และเด็กชายห้าไม่มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา  210  แต่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340  ประกอบมาตรา  83  ส่วนเด็กชายห้า  ซึ่งมีอายุ  10  ปี  แม้มีความผิดฐานปล้นทรัพย์  แต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา  73

นายสองไม่มีความผิดทางอาญาเพราะไม่ได้ร่วมสมคบและไม่ได้ทำการปล้นทรัพย์ด้วย

สรุป  นายหนึ่ง  นายสาม  และนายสี่  ไม่มีความผิดฐานซ่องโจร  แต่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์  เด็กชายห้า  ไม่มีความผิดฐานซ่องโจร  มีความผิดฐานปล้นทรัพย์  แต่ไม่ต้องรับโทษ  นายสอง  ไม่มีความผิดทางอาญา

 

ข้อ  4  จำเลยมีรถยนต์  2  คัน  คันที่หนึ่งหมายเลขทะเบียน  ก.  1234  คันที่สองหมายเลขทะเบียน  ก. 5678  ปรากฏว่ารถยนต์คันที่หนึ่งได้เสียภาษีรถยนต์แล้ว  ส่วนคันที่สองยังไม่ได้เสียภาษี  จำเลยนำแผ่นป้ายเสียภาษีรถยนต์คันที่หนึ่งไปถ่ายเอกสารภาพสี  จากนั้นนำไปติดคันที่สอง  จำเลยนำรถคันที่สองออกขับขี่ถูกตำรวจจับ  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  264  วรรคแรก  ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด  เติมหรือตัดทอนข้อความ  หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ  ในเอกสารที่แท้จริง  หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร  โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร  ต้องระวางโทษ

มาตรา  265  ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ  หรือเอกสารราชการ  ต้องระวางโทษ

มาตรา  268  ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา  264  มาตรา  265  มาตรา  266  หรือมาตรา  267  ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น  หรือเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความนั้นเองให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก)  ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข)  เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง  หรือ

(ค)  ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2       โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3       ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4       โดยเจตนา

การที่จำเลยนำแผ่นป้ายเสียภาษีรถยนต์คันที่หนึ่งไปถ่ายเอกสารภาพสีจากนั้นนำไปติดคันที่สอง  ถือได้ว่าเป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับโดยไม่มีอำนาจ  เมื่อจำเลยนำไปติดคันที่สองเป็นการกระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง  การกระทำของจำเลยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น  จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  (ฎ.2463/2548)

เมื่อป้ายเสียภาษีรถยนต์เป็นเอกสารราชการ  จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา  265

การที่จำเลยนำรถคันที่มีแผ่นป้ายภาษีปลอม  อันเกิดจากการกระทำผิดตามมาตรา  265  ออกขับขี่โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ถือได้ว่าเป็นการใช้เอกสารปลอมตามมาตรา  268

สรุป  จำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา  264  วรรคแรก  มาตรา  265  และมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา  268

Advertisement