ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 นายหนึ่งชวน น.ส. สองไปจดทะเบียนสมรสที่เขตบางกะปิ เมื่อจดทะเบียนสมรสเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นนายหนึ่งพา น.ส. สามไปจดทะเบียนสมรสที่เขตบึงกุ่ม ดังนี้ นายหนึ่งจะมีความผิดอาญาอย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 137 ผู้ใดแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137 นี้ สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2 แก่เจ้าพนักงาน
3 ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
4 โดยเจตนา
แจ้งข้อความ หมายถึง การกระทำด้วยประการใดๆให้เจ้าพนักงานได้ทราบข้อเท็จจริงนั้น อาจกระทำโดยวาจา โดยการเขียนเป็นหนังสือ หรือโดยการแสดงกิริยาท่าทางอย่างใดก็ได้
ข้อความอันเป็นเท็จ หมายถึง ข้อความที่นำไปแจ้งไม่ตรงกับความจริงหรือตรงข้ามกับความจริง เช่น นาย ก ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาว ข โดยแจ้งต่อนายอำเภอว่าไม่เคยมีภริยาหรือจดทะเบียนสมรสมาก่อน ทั้งๆที่นาย ก มีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว คือ นาง ค เช่นนี้เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าหากเป็นเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเป็นเรื่องไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะว่าเป็นข้อความเท็จยังไม่ได้
การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137 นี้อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณีคือ
(ก) ผู้แจ้งไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานเอง
(ข) โดยตอบคำถามที่เจ้าพนักงานเรียกไปสอบสวนเป็นพยานก็ได้
อนึ่งการแจ้งข้อความอันเป็นจริงบางส่วนและเท็จบางส่วน ก็ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแล้ว เช่น ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยกรอกข้อความอื่นเป็นความจริง แต่ในช่องสัญชาติของบิดากรอกว่า บิดาเป็นไทย ความจริงเป็นจีน ซึ่งเป็นเท็จไม่หมด ก็ถือว่าแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา 137 นี้แล้ว
การแจ้งข้อความเท็จที่จะถือว่าเป็นความผิดสำเร็จนั้น เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งต้องได้ทราบข้อความนั้นด้วย แม้ว่าจะไม่เชื่อเพราะรู้ความจริงอยู่แล้วก็ตาม แต่ถ้าเจ้าพนักงานไม่ทราบข้อความนั้น เช่น เจ้าพนักงานไม่ได้ยิน หรือได้ยินแต่กำลังหลับในอยู่ไม่รู้เรื่อง หรือไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศที่แจ้ง เช่นนี้ยังไม่เป็นความผิดสำเร็จ เป็นเพียงความผิดฐานพยายามแจ้งความเท็จเท่านั้น
“แก่เจ้าพนักงาน” เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งข้อความตามมาตรานี้ ต้องมีอำนาจหน้าที่รับแจ้งข้อความและดำเนินการตามเรื่องราวที่แจ้งความนั้น และต้องกระทำการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายด้วย เช่น นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น ดังนั้นถ้าเจ้าพนักงานนั้นไม่มีหน้าที่ในการรับแจ้งข้อความหรือเรื่องที่แจ้งนั้นไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการได้ ก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
“ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย” การแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อการแจ้งนั้นอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ดังนั้นถ้าไม่อาจก่อให้เกิดความเสียหายใดๆย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ อนึ่งกฎหมายใช้คำว่า “อาจทำให้เสียหาย” จึงไม่จำเป็นต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆเพียงแต่อาจเสียหายก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทำจะต้องกระทำด้วยเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือ ผู้แจ้งจะต้องรู้ว่าข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ และต้องรู้ว่าบุคคลที่ตนแจ้งนั้นเป็นเจ้าพนักงานด้วย ถ้าผู้แจ้งไม่รู้ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
การจดทะเบียนสมรสครั้งที่สองที่นายหนึ่งจดทะเบียนสมรสกับ น.ส. สามนั้น เป็นการแจ้งความเท็จแก่นายทะเบียนฯ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน และการกระทำนี้อาจทำให้ น.ส. สาม และ น.ส. สอง เสียหายได้ อีกทั้งเป็นการกระทำโดยเจตนา (ตั้งใจ) การกระทำของนายหนึ่งเข้าองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายข้างต้นทุกประการ ดังนั้นนายหนึ่งจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137
สรุป นายหนึ่งมีความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 137
ข้อ 2 อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงาน (มาตรา 144)
ธงคำตอบ
มาตรา 144 ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการไม่กระทำการหรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ
อธิบาย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144 ดังกล่าว สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1 ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2 ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3 แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4 เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่
5 โดยเจตนา
ให้ หมายถึง มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทำได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป
ขอให้ หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงินแก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงจะรับเงินก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
รับว่าจะให้ หมายถึง เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน แล้วผู้กระทำก็รับปากกับเจ้าพนักงานว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เป็นความผิดสำเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้ ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นจะให้แล้วหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญ
สำหรับสิ่งที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น “ทรัพย์สิน” เช่น เงิน สร้อย แหวน นาฬิกา รถยนต์ หรือ “ประโยชน์อื่นใด” นอกจากทรัพย์สิน เช่น ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถยนต์โดยไม่เสียค่าเช่าหรือยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย เป็นต้น
การกระทำตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทำต่อ “เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล” เท่านั้นและบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ด้วย ถ้าหากกระทำต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอำนาจหน้าที่หรือพ้นจากอำนาจหน้าที่ไปแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
ในเรื่องเจตนา ผู้กระทำจะต้องมีเจตนา ตามมาตรา 59 กล่าวคือ รู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกแห่งสภา ถ้าผู้กระทำไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ทั้งนี้ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหตุชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย คือ
(ก) ให้กระทำการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้เงินเพื่อให้ตำรวจจับกุมคนที่ไม่ได้กระทำความผิด
(ข) ไม่กระทำการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ตำรวจจะจับกุมผู้กระทำผิด จึงให้เงินแก่ตำรวจนั้นเพื่อไม่ให้ทำการจับกุมตามหน้าที่
(ค) ประวิงการกระทำ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน
ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันชอบด้วยหน้าที่แล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 นี้ เช่น เจ้าพนักงานตำรวจไม่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย จำเลยให้เงินตำรวจเพื่อให้ทำการจับกุม กรณีจำเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการให้ทรัพย์สินมีมูลเหตุจูงใจให้กระทำการอันชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144
นายแดงถูก ส.ต.อ.ขาว จับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง จึงเสนอจะยกบุตรสาวของตนให้กับ ส.ต.อ.ขาว เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัว แต่ ส.ต.อ.ขาว ยังไม่ได้ตอบตกลงตามที่นายแดงเสนอแต่อย่างใด เช่นนี้ถือว่า นายแดงขอให้ประโยชน์อื่นใดนอกจากทรัพย์สินแก่ ส.ต.อ.ขาว ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144 แม้ว่าเจ้าพนักงานนั้นจะยังไม่ได้รับเงินก็ตาม
แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจำเลย นายแดงทราบว่า ส.ต.อ.ขาว จะต้องไปเป็นพยานตามหมายเรียกของศาล จึงขอยกบุตรสาวของตนให้กับ ส.ต.อ.ขาว เพื่อให้ ส.ต.อ. ขาว เบิกความผิดจากความจริง (เบิกความเท็จ) ดังนี้นายแดงไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144 เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ จึงมิใช่การให้ประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ (ฎ.439/2469)
ข้อ 3 นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า สมคบกันที่จะขายยาบ้า โดยประชุมปรึกษาหารือและตกลงร่วมกันที่จะเริ่มขายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบเสียก่อน จึงเข้าจับกุมทั้ง 5 คน โดยที่ยังไม่ได้ขายแต่ประการใด ดังนี้ นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า มีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 210 วรรคแรก ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นซ่องโจร ตามมาตรา 210 วรรคแรก แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1 สมคบกัน
2 ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3 เพื่อกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4 โดยเจตนา
การสมคบกัน ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ
(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทำความผิด
ดังนั้นถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปย่อมไม่ถือว่าเป็นการสมคบกัน เช่น ก ข ค ง และ จ ทั้ง 5 คน ได้ประชุมปรึกษากันแล้ว แต่ไม่ตกลงว่าจะกระทำความผิด กรณีนี้ไม่ถือว่า “สมคบกัน”
การสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าต่ำกว่าห้าคนแล้วไม่เป้นความผิดฐานซ่องโจร เช่น ปรึกษาหารือกัน 5 คน แต่ปรากฏว่ามีการคบคิดและตกลงปลงใจร่วมกันที่จะกระทำความผิดเพียง 4 คน ดังนี้ยังไม่ถือว่าผิดฐานซ่องโจรเพราะเป็นการสมคบกันเพียง 4 คนเท่านั้น
เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 หมายความว่า ความผิดนั้นต้องเป็นความผิดตามภาค 2 ได้แก่ ความผิดตั้งแต่มาตรา 107 เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย เป็นต้น
ความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งขึ้นไป หมายความว่า โทษอย่างสูงเป็นอัตราโทษอย่างสูงที่ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ ซึ่งมิใช่โทษที่ศาลจะลงแก่ผู้กระทำความผิดทั้งนี้จะต้องมีกำหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย
โดยเจตนา หมายความว่า รู้สำนึกว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่จะกระทำนั้นมีโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปหรือไม่
การที่นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า สมคบกันที่จะขายยาบ้าโดยประชุมปรึกษาหารือและตกลงร่วมกันที่จะเริ่มขายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ถือได้ว่าเป็นการสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ตามนัยมาตรา 210 วรรคแรก
แต่อย่างไรก็ตามการกระทำของทั้ง 5 คน เป็นการสมคบกันที่จะกระทำผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดฯ ซึ่งมิใช่ความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แม้ความผิดนั้นจะกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่และนายห้าก็ไม่มีความผิดฐานเป็นซ่องโจร ตามมาตรา 210 วรรคแรก เพราะไม่ครบหลักเกณฑ์อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
สรุป นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่และนายห้าไม่มีความผิดฐานเป็นซ่องโจร ตามมาตรา 210 วรรคแรก
ข้อ 4 นายอุดมเป็นเจ้าของรถยนต์สองคัน เป็นสีแดงกับดำ คันสีแดงได้ขาดต่อทะเบียนการเสียภาษีประจำปีแล้ว นายอุดมจึงถอดแผ่นป้ายทะเบียนของคันสีแดงออก แล้วทำแผ่นป้ายทะเบียนขึ้นใหม่โดยให้มีหมายเลขทะเบียนตรงกับคันสีดำ ซึ่งยังไม่ขาดอายุการเสียภาษีประจำปี แล้วทำแผ่นป้ายทะเบียนที่ทำขึ้นใหม่ติดเข้ากับรถคันสีแดง พร้อมนำแผ่นป้ายซึ่งเป็นเอกสารแสดงการเสียภาษีของคันสีดำมาติดแทนที่คันสีแดงอีกด้วย แล้วนายอุดมก็นำรถคันสีแดงออกขับขี่ไปในที่สาธารณะ ดังนี้
(ก) การที่นายอุดมนำรถคันสีแดงออกขับขี่ในที่สาธารณะโดยมีแผ่นป้ายทะเบียนซึ่งตนทำขึ้นเองแต่มีหมายเลขทะเบียนตรงกับคันสีดำ กับ
(ข) การนำเอาแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีของรถคันสีดำมาติดไว้กับรถคันสีแดง อีกกรณีหนึ่งทั้งสองกรณีนี้ นายอุดมมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารประการใดหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 264 วรรคแรก ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชนชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ
มาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษ
มาตรา 268 ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น หรือเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความนั้นเองให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย
1 กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2 โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3 ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4 โดยเจตนา
(ก) การที่นายอุดมทำแผ่นป้ายทะเบียนขึ้นใหม่ซึ่งมีหมายเลขทะเบียนตรงกับคันสีดำโดยไม่มีอำนาจที่จะทำได้ จึงเป็นการปลอมเอกสารขึ้นทั้งฉบับ โดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงซึ่งออกโดยเจ้าพนักงาน และการกระทำดังกล่าวนี้ก็เป็นประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนแล้ว จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก แต่เนื่องจากแผ่นป้ายทะเบียนรถเป็นเอกสารราชการจึงต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา 265 และการที่นายอุดมนำรถคันสีแดงแกขับขี่ในที่สาธารณะ ก็เป็นการใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตามมาตรา 265 จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 ด้วย แต่นายอุดมเป็นผู้ปลอมเอกสารดังกล่าว จึงต้องรับโทษตามมาตรา 268 เพียงกระทงเดียว (ฎ.2457/2524)
(ข) การที่นายอุดมนำแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีของคันสีดำมาติดไว้กับรถคันสีแดง ไม่ได้จัดทำขึ้นใหม่หรือเติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารดังกล่าว จึงไม่เป็นการปลอมเอกสารตามมาตรา 264 และการที่นายอุดมนำรถคันสีแดงออกขับขี่ ก็ไม่มีความผิดเกี่ยวกับการใช้เอกสารปลอมเนื่องจากไม่ใช่เอกสารปลอม กรณีนี้นายอุดมไม่มีความผิดเกี่ยวกับเอกสารแต่ประการใด (ฎ.1347/2541)
สรุป
(ก) นายอุดมมีความผิดฐานปลอมเอกสาร ตามมาตรา 265 ประกอบมาตรา 264 และมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตามมาตรา 268
(ข) นายอุดมไม่มีความผิดเกี่ยวกับเอกสาร