การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 นายตี๋ขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ในขณะที่ฝนตกถนนลื่น ช่วงที่นายตี๋เลี้ยวตรงโค้งถนนนั้นเอง นายแป๊ะซึ่งหาบเต้าฮวยขายกำลังเดินข้ามถนนจะพ้นแล้ว นายตี๋จึงเบรกรถทันที แต่รถได้ลื่นไปชนเอาหาบเต้าฮวยของนายแป๊ะเสียหายหมดทั้งหาบ แต่ตัวของนายแป๊ะไม่เป็นอะไรเลย จงวินิจฉัยความผิดทางอาญาของนายตี๋
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสี่ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
วินิจฉัย
นายตี๋มิได้มีเจตนาจะกระทำต่อนายแป๊ะ แต่การขับรถด้วยความเร็วสูงขณะฝนตกถนนลื่น เป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังตามภาวะและวิสัยของคนขับรถในพฤติการณ์เช่นนั้น (พฤติการณ์ฝนตกถนนลื่น) ซึ่งนายตี๋อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ (คือ การขับรถให้ช้าลงกว่ายามปกติที่ฝนไม่ตก ไม่ใช่ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด) แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ ตามมาตรา 59 วรรคสี่ นายตี๋จึงกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนหาบเต้าฮวยอันเป็นทรัพย์สินของนายแป๊ะเสียหาย
เป็นการทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่น แต่เนื่องจากการทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยประมาทนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด นายตี๋จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ของนายแป๊ะ ทั้งนี้ตามหลักในมาตรา 59 วรรคแรกที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญา เมื่อได้กระทำโดยประมาทก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
สรุป นายตี๋ไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ของนายแป๊ะ
ข้อ 2 นายแดงต้องการฆ่านายดำ เมื่อนายขาวบิดาของนายแดงเดินผ่านมา นายแดงเข้าใจว่าเป็นนายดำ จึงใช้ปืนยิงไปที่นายขาว กระสุนปืนถูกหัวไหล่ของนายขาวได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้กระสุนยังได้เลยไปถูกนางเขียวมารดาของนายแดงได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้ายอีกด้วย จงวินิจฉัยความผิดทางอาญาของนายแดง
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสาม บุคคลจะรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
มาตรา 61 ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่
มาตรา 62 วรรคท้าย บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น
มาตรา 80 วรรคแรก ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
วินิจฉัย
จากข้อเท็จจริง แม้นายแดงจะต้องการฆ่านายดำ แต่เพราะเข้าใจผิดคิดว่านายขาวเป็นนายดำ และได้ลงมือกระทำต่อนายขาวไปแล้ว นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายขาวผู้ถูกกระทำไม่ได้ เหตุผลเพราะนายแดงมีการกระทำที่ครบองค์ประกอบของความผิดทั้งองค์ประกอบภายนอก (ผู้กระทำ – การกระทำ – วัตถุแห่งการกระทำ) และองค์ประกอบภายใน (เจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง และวรรคสาม) นั่นคือ นายแดงรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด รวมทั้งยังประสงค์ต่อผลในการกระทำนั้นด้วย (ผลคือความตายของผู้ที่นายแดงลงมือยิง)
ดังนั้น เมื่อนายขาวผู้ที่นายแดงลงมือยิงได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ จึงเป็นการกระทำที่ได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลตามมาตรา 80
แต่นายแดงไม่ต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายขาวในฐานะที่เป็นบุพการี เพราะนายแดงไม่รู้ว่าผู้ที่ถูกยิงเป็นบุพการี ทั้งนี้ตามมาตรา 62 วรรคท้าย วางหลักไว้ว่า การจะให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น
โดยอาศัยข้อเท็จจริงใดบุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น เมื่อนายแดงไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าตนกำลังทำต่อบุพการี จึงจะให้นายแดงรับโทษหนักขึ้นไม่ได้ นายแดงจึงต้องรับผิดในฐานพยายามฆ่าบุคคลธรรมดาโดยสำคัญผิด ตามมาตรา 59 ประกอบกับมาตรา 61 มาตรา 62 วรรคท้าย และมาตรา 80
ความรับผิดของนายแดงต่อนางเขียว
ตามข้อเท็จจริง นางเขียวเป็นบุคคลที่นายแดงไม่ได้ต้องการให้เกิดผลใดๆ จากการกระทำของตน แต่อย่างไรก็ตาม นายแดงก็ยังต้องรับผิดต่อนางเขียวในความผิดที่กระทำโดยพลาด นั่นคือ นายแดงเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่เมื่อผลของการกระทำในครั้งนั้นไปเกิดแก่บุคคลอีกคนหนึ่งด้วย มาตรา 60 จึงให้ถือว่านายแดงมีเจตนาต่อผู้ได้รับผลร้ายด้วย ดังนั้น เมื่อนายแดงมีเจตนาฆ่าตั้งแต่ต้น เจตนาที่โอนมายังนางเขียวคือเจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน แต่ข้อเท็จจริงนางเขียวได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาเท่านั้น แต่นายแดงไม่ต้องรับผิดฐานพยายามฆ่าบุพการี โดยพลาดเพราะมาตรา 60 ตอนท้าย วางหลักว่า ไม่ให้ลงโทษผู้กระทำหนักขึ้น เพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำ (นายแดง) กับผู้ได้รับผลร้าย (นางเขียวซึ่งเป็นมารดา) นายแดงจึงต้องรับผิดต่อนางเขียวเพียงฐานพยายามฆ่าบุคคลธรรมดาโดยพลาดตามมาตรา 60 ประกอบกับมาตรา 80
สรุป นายแดงรับผิดฐานพยายามฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดและรับผิดฐานพยายามฆ่านางเขียวโดยพลาด
ข้อ 3 นายไม่ดีพูดจาเสียดสีและต่อยหน้านางสาวสวย 1 ที จนนางสาวสวยล้มลงแล้ววิ่งหนีไป นางสาวสวยวิ่งตามไปจนทัน นางสาวสวยชักมีดพกออกมาแทงนายไม่ดีถูกที่แขนขวา นายไม่ดีหันไปเห็นนายหล่อกำลังจะปิดบ้านจึงเปิดประตูบ้านเพื่อจะเข้าไปซ่อนตัว แต่นายหล่อไม่ยอม นายไม่ดีจึงผลักนายหล่อหัวกระแทกประตูได้รับบาดเจ็บ นายหล่อฮึดสู้จึงต่อยนายไม่ดีปากแตกได้รับบาดเจ็บเช่นกัน จงวินิจฉัยความผิดทางอาญาของนายไม่ดี นางสาวสวย และนายหล่อ
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสาม บุคคลจะรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
มาตรา 67 ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อ
ภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
มาตรา 72 ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
วินิจฉัย
ความรับผิดของนายไม่ดี
นายไม่ดีต่อยหน้านางสาวสวยโดยเจตนาทำร้ายร่างกาย จึงต้องรับผิดต่อนางสาวสวยฐานทำร้ายร่างกาย ตามมาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสาม
นายไม่ดีทำร้ายร่างกายนายหล่อเจ้าของบ้านได้รับบาดเจ็บ เพราะจะเข้าบ้านเพื่อซ่อนตัวนั้น นายไม่ดีมีเจตนาทำร้ายร่างกายนายหล่อแล้วโดยเป็นเจตนาประสงค์ต่อผล โดยต้องรับผิดทางอาญาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามมาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสาม โดยไม่สามารถอ้างเหตุจำเป็นตามมาตรา 67 (2) เพื่อมายกเว้นโทษของตนได้ เพราะภยันตรายที่นายไม่ดีจะหลีกเลี่ยงนั้นเป็นภยันตรายที่นายไม่ดีก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตนเอง
ดังนั้น นายไม่ดีต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายนางสาวสวยโดยเจตนา และรับผิดฐานทำร้ายร่างกายนายหล่อโดยเจตนา โดยไม่อาจอ้างเหตุจำเป็นเพื่อยกเว้นโทษได้
ความรับผิดของนางสาวสวย
นางสาวสวยใช้มีดแทงถูกแขนของนายไม่ดี โดยเจตนาทำร้ายร่างกายนายไม่ดี โดยเป็นเจตนาประสงค์ต่อผล นางสาวสวยจึงต้องรับผิดตามมาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสาม แต่ทั้งนี้ นางสาวสวยได้กระทำลงไปเพราะความโกรธเนื่องจากถูกนายไม่ดีข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงได้กระทำความผิดต่อผู้ที่ข่มเหงตนไปในขณะนั้น (ขณะที่ยังมีความโกรธอยู่) จากข้อเท็จจริง นางสาวสวยได้วิ่งไล่ติดตามไปทันทีในขณะที่ยังมีความโกรธอยู่ จึงสามารถนำเหตุบันดาลโทสะซึ่งเป็นเหตุลดโทษมาอ้างเพื่อให้ตนได้รับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา 72
ดังนั้น นางสาวสวยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายนายไม่ดี แต่สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อลดโทษได้
ความรับผิดของนายหล่อ
นายหล่อมีเจตนาทำร้ายร่างกายนายไม่ดี โดยการต่อยนายไม่ดีจนปากแตกได้รับบาดเจ็บถือว่ามีเจตนาประสงค์ต่อผลแล้ว แต่การที่นายหล่อกระทำลงไปนั้นเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองจากภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของนายไม่ดี นอกจากนี้นายหล่อยังได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ นายหล่อจึงสามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันซึ่งเป็นเหตุยกเว้นความผิดมายกเว้นความผิดในฐานทำร้ายร่างกายนายไม่ดีได้ ตามมาตรา 68
ดังนั้น นายหล่อไม่มีความผิดทางอาญา เพราะสามารถอ้างป้องกันเพื่อยกเว้นความผิดฐานเจตนาทำร้ายร่างกายนายไม่ดีได้
สรุป นายไม่ดีรับผิดฐานเจตนาทำร้ายร่างกายนางสาวสวย และฐานเจตนทำร้ายร่างกายนายหล่อ นางสาวสวยรับผิดฐานเจตนาทำร้ายร่างกายนายไม่ดี แต่อ้างบันดาลโทสะเพื่อลดโทษได้ นายหล่อไม่มีความผิด เพราะอ้างป้องกันเพื่อยกเว้นความผิดฐานเจตนาทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้
ข้อ 4 นายมาเฟียเป็นศัตรูกับนายเจ้าพ่อ นายมาเฟียจึงจ้างมือปืนไปฆ่านายเจ้าพ่อ นายมือปืนได้สมคบกับนายลูกปืนจะไปฆ่านายเจ้าพ่อโดยแบ่งหน้าที่กันทำ คือ นายมือปืนจะเป็นคนยิง นายลูกปืนจะเป็นคนดูต้นทางให้ ระหว่างที่รอนายเจ้าพ่อ นายระเบิดเดินผ่านมา นายลูกปืนซึ่งดูต้นทางอยู่รู้จักกันดีกับนายระเบิด จึงเล่าให้นายระเบิดฟัง และให้ช่วยดูต้นทางอีกคน นายระเบิดตกลงโดยที่นายมือปืนไม่ได้ล่วงรู้ถึงการดูต้นทางของนายระเบิดเลย ระหว่างนั้นมีคนจะเดินไปตรงที่นายมือปืนดักซุ่มรอนายเจ้าพ่ออยู่ นายระเบิดได้บอกให้คนที่จะเดินผ่านไปว่าให้ไปทางอื่นเสีย เพราะข้างหน้าถนนไม่ดี หลังจากนั้นนายเจ้าพ่อก็เดินมาถึงที่เกิดเหตุ นายมือปืนจึงยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตาย จงวินิจฉัยความรับผิดของนายมาเฟีย นายลูกปืน และนายระเบิด
ธงคำตอบ
มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน หรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น
วินิจฉัย
ความผิดของนายมาเฟีย
นายมาเฟียจ้างให้นายมือปืนฆ่าศัตรูของตน ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทำความผิด เมื่อนายมือปืนผู้รับจ้างได้ลงมือฆ่านายเจ้าพ่อไปแล้ว นายมาเฟียจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ และต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ความผิดของนายลูกปืน
นายลูกปืนได้แบ่งหน้าที่กันกับนายมือปืนผู้ลงมือ โดยรับหน้าที่ดูต้นทางให้กับผู้ลงมือ ถือว่านายลูกปืนมีการกระทำและมีเจตนาร่วมกันกับนายมือปืนผู้ลงมือแล้วจึงมีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา 83
ความผิดของนายระเบิด
นายระเบิดดูต้นทางให้นายมือปืนโดยที่นายมือปืนไม่ได้ล่วงรู้ถึงการดังกล่าว ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการกระทำร่วมกันและมีเจตนาร่วมกัน เพราะแต่ละคนไม่ได้รับรู้ถึงการกระทำของกันและกัน นายระเบิดจึงไม่ได้เป็นตัวการในความผิดฐานดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม นายระเบิดได้กระทำการอันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่นายมือปืนได้กระทำความผิด โดยเป็นการให้ความสะดวก “ก่อน” ที่นายมือปืนจะกระทำความผิดด้วยการบอกให้คนที่เดินผ่านไปทางนั้นให้เดินไปทางอื่นเสีย ถึงแม้ตัวผู้ลงมือคือ นายมือปืนจะไม่ได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม นายระเบิดมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนโดยความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา 86
สรุป นายมาเฟีย เป็นผู้ใช้ นายลูกปืน เป็นตัวการ นายระเบิด เป็นผู้สนับสนุน