การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2547
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 เหน่งเลี้ยงสุนัขดุไว้ในบ้าน ด้วยความรีบร้อนเหน่งเปิดประตูรั้วนำรถยนต์ออก โดยมิได้เอาสุนัขขังกรงก่อน สุนัขของเหน่งวิ่งตรงออกจากบ้านตรงไปจะกัดอุดมซึ่งกำลังยืนซื้อส้มตำจากช้อย อุดมเห็นว่าจวนตัวสามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงคว้าครกที่ช้อยกำลังตำส้มตำทุ่มไปถูกหัวสุนัข สุนัขตายและครกของช้อยแตก
ดังนี้ อุดมและเหน่งจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคหนึ่ง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
มาตรา 67 ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
วินิจฉัย
เหน่งเปิดประตูรั้วโดยไม่ได้เอาสุนัขดุของตนไปขังกรงก่อน สุนัขจึงวิ่งออกจากบ้านไปจะกัดอุดม ถือว่าเหน่งกระทำไปโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งเมื่อเหน่งจะเปิดประตู ตามวิสัยของคนที่เลี้ยงสุนัขดุจึงมีหน้าที่ที่จะต้องนำสุนัขไปขังหรือผูกไว้เพื่อไม่ให้สุนัขออกไปจากบ้านก่อนที่จะเปิดประตู เมื่อเหน่งไม่ได้กระทำ เหน่งจึงไม่ได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ เหน่งกระทำโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ แต่เหน่งไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะความเสียหายยังไม่ได้เกิดจากการกระทำนั้น ตามมาตรา 59 วรรคแรก บุคคลจักต้องรับผิดทางอาญากรณีที่กระทำโดยประมาทต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติว่า การกระทำโดยประมาทนั้นเป็นความผิด
อุดมได้ใช้ครกส้มตำทุ่มถูกหัวสุนัขของเหน่ง สุนัขตาย อุดมไม่ต้องรับผิดฐานทำให้ทรัพย์ของเหน่งเสียหาย เพราะอุดมกระทำไปเพื่อให้ตนเองพ้นจากการถูกสุนัขของเหน่งกัด การที่สุนัขวิ่งออกมาจากบ้านและจะกัดอุดมนั้น เกิดจากการประมาทของเหน่ง
ซึ่งถือว่าเป็นภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง อุดมใช้ครกทุ่มไปที่สุนัขได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ เป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 อุดมไม่มีความผิดทำให้ทรัพย์ของเหน่งเสียหาย ส่วนกรณีที่ครกของช้อยแตกเสียหายนั้น อุดมต้องรับผิดฐานทำให้ทรัพย์ของช้อยเสียหาย แต่อุดมไม่ต้องรับโทษ เพราะอุดมกระทำความผิดด้วยความจำเป็น
เพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายอันใกล้จะถึง และอุดมไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นได้โดยวิธีอื่นใดได้นอกจากจะต้องกระทำความผิดและภยันตรายนั้นอุดมมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของอุดม และการกระทำของอุดมก็ไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุ อุดมจึงไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67(2)
สรุป เหน่งไม่ต้องรับผิดทางอาญา อุดมไม่ต้องรับผิดต่อเหน่ง เพราะกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย อุดมรับผิดต่อช้อย แต่ไม่ต้องรับโทษเพราะกระทำความผิดด้วยความจำเป็น ตามมาตรา 67(2)
ข้อ 2 มนตรีรับราชการอยู่ชายแดน 3 เดือนกลับมาบ้านครั้งหนึ่ง เมื่อมนตรีกลับมาบ้านจรรยาภรรยาของมนตรีเล่าให้มนตรีฟังว่า เมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมาสาครได้ข่มขืนกระทำชำเราจรรยา มนตรีได้ฟังคำบอกกล่าวจากจรรยารู้สึกโกรธสาครมากจึงตามไปฆ่าสาคร มนตรีไม่พิจารณาให้ดีเข้าใจว่าขจรเป็นสาครซึ่งตนตามฆ่า จึงยิงขจรลูกกระสุนปืนถูกขจรบาดเจ็บแล้วยังเลยไปถูกแจ่มใสตายด้วย
ดังนี้มนตรีจะต้องรับผิดทางอาญา อย่างไรหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคหนึ่ง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
มาตรา 59 วรรคสอง กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
มาตรา 61 ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่
มาตรา 62 ข้อเท็จจริงใด ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด หรือได้รับยกเว้นโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แล้วแต่กรณี
ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริง ตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท
บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น
มาตรา 72 ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
วินิจฉัย
มนตรีต้องการฆ่าสาคร สมตรีไม่พิจารณาให้ดีเข้าใจว่าขจรเป็นสาคร ซึ่งตนตามฆ่าจึงยิงขจร มนตรีเจตนากระทำต่อขจรแล้ว ตามมาตรา 59 วรรคสอง มนตรีจึงต้องรับผิดตามมาตรา 59 วรรคแรก แม้ว่ามนตรีเจตนาจะกระทำต่อสาครแต่ได้กระทำโดยสำคัญผิดก็ตาม มนตรีจะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำต่อขจรโดยเจตนาไม่ได้ ตามมาตรา 61
เพราะมนตรีกระทำต่อขจรนั้นเป็นเจตนาประสงค์ต่อผล แต่ที่มนตรีเจตนากระทำต่อขจรโดยเข้าใจว่าเป็นสาครนั้นเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะเนื่องมาจากสาครได้ข่มเหงมนตรีอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม มนตรีจึงรับโทษน้อยลง ตามมาตรา 72 การที่มนตรีสำคัญผิดว่าขจรคือสาคร เป็นความสำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งแม้จะเกิดจากความประมาทของมนตรีก็ตาม มนตรีต้องรับผิดต่อขจรโดยเจตนาอยู่แล้ว เพราะตามมาตรา 61 ความสำคัญผิดนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวไม่ได้ ซึ่งต่างกับมาตรา 62 วรรคแรกที่แก้ตัวได้
แต่ถ้าความสำคัญผิดเกิดจากความประมาทจึงต้องรับโทษตามมาตรา 62 วรรคสอง เมื่อมนตรีกระทำต่อขจรไปโดยบันดาลโทสะแล้ว ผลของการกระทำไปเกิดกับแจ่มใสนั้นเป็นผลซึ่งเกิดโดยพลาดไป แต่ตามมาตรา 60 ถือว่ามนตรีเจตนากระทำต่อแจ่มใส ซึ่งมนตรีอ้างบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ได้เช่นเดียวกัน เพื่อรับโทษน้อยลง
สรุป มนตรีกระทำต่อขจรโดยเจตนาและเจตนากระทำต่อแจ่มใสโดยพลาดไป แต่มนตรีกระทำไปขณะบันดาลโทสะ จึงรับโทษน้อยเพียงใดก็ได้
ข้อ 3 มารุตกับพวกแข่งรถจักรยานยนต์กันบนท้องถนน สงบมีบ้านอยู่ริมถนนเกิดความรำคาญเสียงดังของรถจักรยานยนต์ที่มารุตกับพวกขับแข่งกันมา สงบจึงใช้อาวุธปืนยิงไปที่กลุ่มรถจักรยานยนต์ของมารุตกับพวกขับแข่งกันมาลูกกระสุนปืนถูกรถจักรยานยนต์ที่มารุตขับมาล้มลง มารุตกระเด็นไปนอนอยู่กลางถนน อาชาขับรถยนต์บรรทุกมาพอดีที่มารุตกระเด็นไปนอนอยู่กลางถนนซึ่งอยู่ในระยะกระชั้นชิดห้ามล้อไม่ทัน รถยนต์บรรทุกจึงทับมารุตตาย
ดังนี้ สงบและอาชาจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคหนึ่ง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
วินิจฉัย
มารุตกับพวกแข่งรถจักรยานยนต์กันบนท้องถนน สงบมีบ้านอยู่ริมถนนเกิดความรำคาญเสียงดังของรถจักรยานยนต์ที่มารุตกับพวกขับแข่งกันมา สงบจึงใช้อาวุธปืนยิงไปที่กลุ่มรถจักรยานยนต์ของมารุตกับพวกขับแข่งกันมา ลูกกระสุนปืนถูกรถจักรยานยนต์ที่มารุตขับมาล้มลง มารุตกระเด็นไปนอนอยู่กลางถนน อาชาขับรถยนต์บรรทุกมาพอดีที่มารุตกระเด็นไปนอนอยู่กลางถนนซึ่งอยู่ในระยะกระชั้นชิดห้ามล้อไม่ทัน รถยนต์บรรทุกจึงทับตาย ดังนี้ แม้สงบไม่ได้ประสงค์ต่อผลโดยตรงให้มารุตตาย แต่สงบย่อมเล็งเห็นผลว่าการใช้ปืนยิงไปที่มารุตกับพวกที่ขับรถจักรยานยนต์แข่งกันมานั้นอาจจะทำให้กระสุนปืนถูกคนตายหรือทำให้ถูกรถจักรยานยนต์แล้วเสียหลักทำให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้น จึงต้องถือว่าสงบเจตนากระทำต่อมารุตโดยเล็งเห็นผล ตามมาตรา 59 วรรคสอง สงบต้องรับผิดทางอาญาต่อมารุตตามมาตรา 59 วรรคแรก ส่วนการกระทำของอาชานั้น อาชาไม่ต้องรับผิดทางอาญา ตามมาตรา 59 วรรคแรก เพราะอาชาไม่มีเจตนากระทำต่อมารุต ตามมาตรา 59 วรรคสอง และข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าอาชากระทำไปโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะ (ขณะขับรถ) เช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ แต่มารุตกระเด็นไปนอนอยู่กลางถนนซึ่งอยู่ในระยะกระชั้นชิดห้ามล้อไม่ทัน รถยนต์บรรทุกจึงทับมารุตตาย จึงถือไม่ได้ว่าอาชากระทำโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่
สรุป สงบกระทำต่อมารุตโดยเจตนา จึงต้องรับผิดทางอาญาต่อมารุต อาชาไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะไม่ได้กระทำต่อมารุตโดยเจตนาและไม่ได้กระทำต่อมารุตโดยประมาท
ข้อ 4 สดสวยโกรธเสริมศักดิ์สามี เพราะเจ้าชู้มาก สดสวยวานให้สมศักดิ์และสมยศน้องชายของสดสวยทั้งสองคนไปฆ่าเสริมศักดิ์ แสงทองน้องสาวของสดสวยเป็นผู้จัดหาอาวุธปืนให้สมศักดิ์และสมยศและขับรถไปส่งสมศักดิ์กับสมยศที่บ้านของเสริมศักดิ์ เมื่อสมศักดิ์กับสมยศขึ้นไปบนบ้าน เห็นเสริมศักดิ์นอนหลับ สมศักดิ์ยกปืนเล็งไปที่เสริมศักดิ์ สมศักดิ์เกิดความสงสารจึงไม่ลั่นไก สมยศเห็นสมศักดิ์ไม่ยิงจึงชักปืนจะยิงเสริมศักดิ์เสียเอง สดสวยตามมาทันด้วยความรักที่มีอยู่จึงเข้าไปผลักสมยศกระสุนปืนลั่นออกไปไม่ถูกเสริมศักดิ์ ดังนี้ สมสวย สมศักดิ์ สมยศ และแสงทองจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 82 ผู้ใดพยายามกระทำความผิด หากยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด หรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผล ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับการพยายามกระทำความผิดนั้น แต่ถ้าการที่ได้กระทำไปแล้วต้องบทกฎหมายที่บัญญัติเป็นความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้นๆ
มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน หรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้นฃ
มาตรา 88 ถ้าความผิดที่ได้ใช้ ได้กระทำถึงขั้นลงมือกระทำความผิด แต่เนื่องจากการเข้าขัดขวางของผู้ใช้ ผู้กระทำได้กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้ใช้คงรับผิดเพียงที่บัญญัติไว้ในมาตรา 84 วรรคสอง
มาตรา 89 ถ้ามีเหตุส่วนตัวอันควรยกเว้นโทษ ลดโทษ หรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดคงใดจะนำเหตุนั้นไปใช้แก่ผู้กระทำความผิดคนอื่นในการกระทำความผิดนั้นด้วยไม่ได้ แต่ถ้าเหตุอันควรยกเว้นโทษลดโทษหรือเพิ่มโทษในลักษณะคดี จึงให้ใช้แก่ผู้กระทำความผิดในการกระทำความผิดนั้นด้วยกันทุกคน
วินิจฉัย
การกระทำของสดสวย ตามปัญหา สดสวยวานให้สมศักดิ์และสมยศน้องชายของสดสวยทั้งสองคนไปฆ่าเสริมศักดิ์ จึงถือว่าสดสวยได้ก่อให้สมศักดิ์กับสมยศกระทำความผิด สดสวยจึงเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดและต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ ตามมาตรา 84 แต่เมื่อสมศักดิ์กับสมยศขึ้นไปบนบ้าน เห็นเสริมศักดิ์นอนหลับสมศักดิ์ยกปืนขึ้นเล็งไปที่เสริมศักดิ์ สมศักดิ์เกิดความสงสารจึงไม่ลั่นไก จึงถือได้ว่าสมศักดิ์ได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะยับยั้งเสียเองโดยสมัครใจ และการที่สมศักดิ์ได้กระทำไปแล้วไม่ต้องตามบทกฎหมายที่บัญญัติเป็นความผิด สมศักดิ์จึงไม่ต้องรับโทษฐานพยายาม ตามมาตรา 82 ซึ่งการยับยั้งการกระทำเสียเองนี้ ย่อมมีผลไปถึงผู้กระทำคนอื่นๆ (ตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้) ในความผิดที่กระทำเพราะการยับยั้งนั้นด้วย เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี ตามาตรา 89 ดังนั้น จึงมีผลไปถึงสดสวยด้วย แต่เมื่อสมยศเห็นสมศักดิ์ไม่ยิงจึงชักปืนจะยิงเสริมศักดิ์เสียเอง และสดสวยตามมาทันแล้วผลักสมยศ จึงเป็นการขัดขวางให้การกระทำไม่บรรลุผล สดสวยมีความผิด ตามมาตรา 88 ต้องรับโทษหนึ่งในสาม ตามมาตรา 84 วรรคสอง
การกระทำของสมศักดิ์ ตามปัญหา สมศักดิ์ยกปืนเล็งไปที่เสริมศักดิ์แต่เกิดความสงสารจึงไม่ลั่นไก สมศักดิ์ได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะยับยั้งการกระทำเสียเองโดยสมัครใจ ตามมาตรา 82 สมศักดิ์ไม่ต้องรับโทษฐานพยายามฆ่า
การกระทำของสมยศ ตามปัญหา สมยศชักปืนจะยิงเสริมศักดิ์เสียเองแต่สดสวยเข้าไปผลักสมยศกระสุนปืนลั่นไปไม่ถูกเสริมศักดิ์ จึงถือได้ว่าสมยศได้ลงมือกระทำแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า ตามมาตรา 80
การกระทำของแสงทอง ตามปัญหา แสงทองเป็นผ็จัดหาอาวุธปืนให้สมศักดิ์และสมยศ และได้ขับรถไปส่งสมศักดิ์กับสมยศที่บ้านของเสริมศักดิ์ จึงถือได้ว่า แสงทองช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แสงทองจึงเป็นผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86 แม้สมยศลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอดจึงเป็นขั้นพยายามก็ตาม แสงทองก็ต้องรับโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
สรุป
1 สดสวยเป็นผู้ใช้ให้ (สมยศ) กระทำความผิด แต่ได้เข้าขัดขวางให้การกระทำไม่บรรลุผล สดสวยมีความผิด ตามมาตรา 88 ต้องรับโทษหนึ่งในสามตามมาตรา 84 วรรคสอง
2 สมศักดิ์ไม่ต้องรับโทษฐานพยายามฆ่า
3 สมยศมีความผิดฐานพยายามฆ่า
4 แสงทองมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน