การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  สุขสมขับรถยนต์รับส่งนักเรียน  รถยนต์ที่สุขสมขับห้ามล้อไม่อยู่ในระยะกระชั้นชิด  สุขสมก็ทราบดีแต่ยังคงนำรถยนต์คันดังกล่าวไปรับส่งนักเรียนอีก  ขณะสุขสมขับรถยนต์มาถึงทางแยกมีสัญญาณไฟจราจรสีแดง  สุขสมห้ามล้อไม่อยู่เพราะระยกระชั้นชิด  รถยนต์ที่สุขสมขับมาชนรถจักรยานยนต์ของส่งเสริมที่จอดรอสัญญาณไฟอยู่ข้างหน้าล้มลง  ส่งเสริมได้รับบาดเจ็บและรถจักรยานยนต์ของส่งเสริมยังไปถูกรถยนต์ของสดใสเสียหายด้วย

ดังนี้  สุขสมจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคหนึ่ง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

การกระทำ  ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น  โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

วินิจฉัย

สุขสมทราบดีว่าห้ามล้อรถยนต์ไม่อยู่ในระยะกระชั้นชิด  แต่ไม่จัดการซ่อมให้ดีตามวิสัยของผู้มีอาชีพรถยนต์รับจ้าง  เพราะการที่รถยนต์ห้ามล้อไม่ดีย่อมเกิดอันตรายได้  และตามพฤติการณ์แล้วหากสุขสมจัดการซ่อมห้ามล้อให้ดีก็ย่อมทำได้  แต่หาได้จัดการซ่อมไม่  ถือได้ว่าสุขสมอาจใช้ความระมัดระวังได้แต่ไม่ใช้ให้เพียงพอ

ด้วยเหตุนี้  การกระทำของสุขสมจึงเป็นการกระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่  เมื่อรถยนต์ที่สุขสมขับมาชนรถจักรยานยนต์ของส่งเสริมล้มลง  และส่งเสริมได้รับบาดเจ็บ  เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำโดยประมาทของสุขสม  ซึ่งเป็นการกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  สุขสมต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคหนึ่ง  ส่วนรถจักรยานยนต์ของส่งเสริมล้มไปถูกรถยนต์ของสดใสเสียหาย

เป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของสุขสม  แต่การกระทำโดยประมาทที่จะต้องรับผิดทางอาญาจะต้องมีกฎหมายบัญญัติว่า  การกระทำโดยประมาทนั้นเป็นความผิดตามมาตรา  59  วรรคหนึ่ง  สำหรับการกระทำโดยประมาทให้ทรัพย์สินเสียหายนั้น  ไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด

สรุป  สุขสมต้องรับผิดกระทำโดยประมาทให้ส่งเสริมได้รับบาดเจ็บ  สำหรับรถยนต์ของสดใสที่เสียหาย  สุขสมไม่ต้องรับผิดทางอาญา 

 

ข้อ  2  นำชัยใช้ปืนขู่บังคับประทินให้ใช้ไม้ตีศีรษะสมภพ  หากประทินขัดขืนจะยิงให้ตาย  ประทินกลัวตายจึงใช้ไม้ตีไปที่ศีรษะของสมภพ  สมภพหลบทัน  นำชัยจึงบอกให้ประทินตีอีก  ประทินเงื้อไม้ขึ้นตีสมภพชักมีดแทงสวนไปถูกประทินล้มลง  ไม้ที่ประทินถืออยู่ถูกเจนจบซึ่งนั่งอยู่ในบริเวณนั้นได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  นำชัย  ประทิน  และสมภพจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคหนึ่ง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

มาตรา  59  วรรคสอง  กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ 

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้  เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ 

วินิจฉัย

ประทินใช้ไม้ตีไปที่ศีรษะสมภพ  ประทินได้กระทำไปโดยรู้สำนึกในการกระทำขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผลคือ  สมภพ  ประทินกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคหนึ่ง  ที่บัญญัติว่า  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  แต่ประทินไม่ต้องรับโทษเพราะขณะกระทำประทินอยู่ภายใต้อำนาจของนำชัย  ประทินไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้  และการที่ประทินใช้ไม้ตีศีรษะของสมภพนั้นผลที่เกิดขึ้นคือสมภพได้รับบาดเจ็บ  แต่ถ้าประทินขัดขืนไม่ใช้ไม้ตีศีรษะสมภพตามคำขู่ของนำชัยแล้วประทินจะถูยิงตาย  การกระทำของประทินจึงเป็นการกระทำไม่เกินสมควรแก่เหตุ  ดังนั้น  ประทินจึงกระทำความผิดด้วยความจำเป็นตามมาตรา  67(1)  ประทินมีความผิด  แต่ไม่ต้องรับโทษ

การกระทำของสมภพ  สมภพกระทำต่อประทินโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและขณะเดียวกันประสงค์ต่อผล  สมภพได้กระทำต่อประทินโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่สมภพกระทำไปเพื่อให้ตนพ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ประทินได้ก่อขึ้น  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  สมภพจำต้องป้องกันสิทธิของตนเอง  และได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำของสมภพเป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  สมภพไม่มีความผิดตามมาตรา  68  นำชัยได้มีเจตนาก่อให้ประทินกรทำความผิดด้วยวิธีบังคับและความผิดได้เกิดขึ้นตามที่ก่อ  นำชัยต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา  84

สรุป 

1       ประทินมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ  เพราะกระทำผิดด้วยความจำเป็น

2       สมภพกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ไม่มีความผิด

3       นำชัยเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

 

ข้อ  3  สมยศรับราชการอยู่ชายแดนได้รับอนุญาตให้ลากลับมาเยี่ยมบ้าน  สมยศกลับมาถึงบ้าน  ส่องแสงภรรยาชอบด้วยกฎหมายของสมยศ  เล่าให้สมยศฟังว่าเมื่อเดือนก่อนหาญได้เข้ามาข่มขืนกระทำชำเราส่องแสงในบ้าน  สมยศทราบจากส่องแสงเช่นนั้นโกรธมากจึงตามไปฆ่าหาญ  สมยศพบแห้วน้องชายหาญไม่พิจารณาให้ดีเข้าใจว่าเป็นหาญจึงชักอาวุธปืนยิงแห้ว  ขณะที่สมยศยิงแห้ว  หาญออกมาเห็นเข้าพอดีจำได้ว่าสมยศเป็นสามีของส่องแสงที่ตนข่มขืนสมยศคงจะมาฆ่าตน  หาญจึงยิงสมยศได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  สมยศ  และหาญจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคหนึ่ง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

มาตรา  59  วรรคสอง  กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

สมยศต้องการฆ่าหาญ  สมยศเห็นแห้วน้องชายหาญไม่พิจารณาให้ดีเข้าใจว่าเป็นหาญ  สมยศชักอาวุธปืนออกยิงแห้ว  สมยศได้กระทำต่อแห้วโดยเจตนาปนระสงค์ต่อผลตามมาตรา  59  วรรคสอง  สมยศจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคหนึ่ง  แม้ว่าสมยศเจตนาจะกระทำต่อหาญ  แต่ได้กระทำต่อแห้วโดยสำคัญผิดก็ตาม  สมยศจะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำต่อแห้วโดยเจตนาไม่ได้ตามมาตรา  61  ซึ่งการที่สมยศสำคัญผิดว่าแห้วคือหาญ  เป็นความสำคัญผิดในตัวบุคคล  ซึ่งแม้จะเกิดจากความประมาทของสมยศก็ตาม  สมยศต้องรับผิดต่อแห้วโดยเจตนาอยู่แล้ว  เพราะตามมาตรา  61  ความสำคัญผิดนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวไม่ได้  แต่สมยศกระทำไปเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมและได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงไปขณะนั้น  สมยศกระทำไปเพราะบันดาลโทสะ  จะได้รับโทษน้อยเพียงใดก็ได้  ตามมาตรา  72

ส่วนหาญเห็นสมยศกำลังยิงแห้ว  หาญจำสมยศได้ว่าเป็นสามีของส่องแสงที่ตนข่มขืนและคงจะมาฆ่าตน  หาญจึงยิงสมยศ  หาญได้กระทำต่อสมยศโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และหาญจะอ้างว่ามีภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  หาญจำต้องป้องกันสิทธิของตนเองไม่ได้  และขณะนั้นหาญเองก็ไม่คิดจะป้องกันสิทธิของผู้อื่น  (แห้ว)  ด้วย  เพราะหาญเป็นผู้ก่อภยันตรายขึ้นก่อน  หาญจึงอ้างว่ากระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ไม่ได้

สรุป  สมยศกระทำความผิดทางอาญา  แต่กระทำไปเพราะบันดาลโทสะ  จึงรับโทษน้อยลง  หาญกระทำต่อสมยศโดยเจตนาและอ้างว่ากระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้

 

ข้อ  4  เฉิดโฉมเดินผ่านสมปอง  สมปองจึงพูดว่า  โอโฮ  อกภูเขาบั้นท้ายดินระเบิด  เฉิดโฉมไม่พอใจมาบ่นให้เพื่อนๆฟังว่า  อยากตีศีรษะสมปองปากไม่ดี  ชาตรีซึ่งหลงรักเฉิดโฉมอยากเอาใจเฉิดโฉมชาตรีชวนสมพงษ์ไปทำร้ายสมปอง  สมพงษ์ตกลง  ยอดทราบว่าชาจรีกับสมพงษ์จะไปทำร้ายสมปอง  ยอดจึงบอกชาตรีกับสมพงษ์ว่าอย่างวู่วาม  แล้วทั้งสามคนร่วมกันวางแผน  พอถึงเวลาไปทำร้ายสมปอง  ชาตรีไปกับสมพงษ์สองคน  ยอดไม่ได้ไปด้วย  ชาตรีตีศีรษะสมปองแล้วส่งไม้ให้สมพงษ์แล้วหลบหนีไปด้วยกัน  ดังนั้น  เฉิดโฉม  สมพงษ์  และยอด  จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

การที่เฉิดโฉมบ่นให้เพื่อนๆฟังว่าอยากตีศีรษะสมปองปากไม่ดี  แล้วชาตรีซึ่งหลงรักเฉิดโฉมอยากเอาใจเฉิดโฉม  ชาตรีจึงชวนสมพงษ์ไปทำร้ายสมปองนั้น  ถือไม่ได้ว่าเฉิดโฉมก่อให้ชาตรีกระทำความผิด  เฉิดโฉมเพียงระบายความไม่พอใจให้ฟังเท่านั้น  ดังนั้น  เฉิดโฉมจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  เพราะผู้ใช้ตามมาตรา  84  นั้น  จะต้องเป็นผู้ที่มีเจตนาก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด  แต่ตามปัญหา เฉิดโฉมไม่มีเจตนาก่อให้ชาตรีกระทำความผิด

เมื่อชาตรีชวนสมพงษ์ไปทำร้ายสมปองแล้วสมพงษ์ตกลง  ยอดทราบว่าชาตรีกับสมพงษ์จะไปทำร้ายสมปอง  ยอดจึงบอกชาตรีกับสมพงษ์ว่าอย่าวู่วาม  แล้วทั้งสามคนร่วมกันวางแผน  พอถึงเวลาไปทำร้ายสมปองชาตรีไปกับสมพงษ์สองคน  ยอดไม่ได้ไปด้วย  ชาตรีตีศีรษะสมพงษ์แล้วส่งไม้ให้สมพงษ์แล้วหลบหนีไปด้วยกัน  ดังนั้น  ชาตรีกับสมพงษ์จึงเป็นตัวการทำร้ายร่างกายสมปอง  เพราะชาตรีกับสมพงษ์ได้ร่วมกันกระทำขณะกระทำความผิดโดยมีเจตนาที่จะกระทำความผิดด้วยกัน  (กล่าวคือ  รู้ถึงการกระทำของกันและกัน  และต่างถือเอาการกระทำของแต่ละคนเป็นการกระทำของตนด้วย)  ชาตรีและสมพงษ์ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

การกระทำของยอด  ยอดได้ร่วมกันวางแผนกับชาตรีและสมพงษ์  แต่ยอดไม่ได้ร่วมกระทำขณะกระทำความผิดเพราะยอดไม่ได้ไปทำร้ายสมปองด้วย  ยอดจึงเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนกระทำความผิด  ยอดต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามมาตรา  86 

สรุป 

1       เฉิดโฉมไม่มีเจตนาก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดจึงไม่ต้องรับผิด

2       สมพงษ์ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

3       ยอดต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

Advertisement