การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 ปรมีต้องการฆ่าสมโชค จึงนำอาวุธปืนมาให้สุขุมและหลอกสุขุมว่า ปืนไม่มีลูกกระสุนให้สุขุมเอาไปแกล้งยิงขู่สมโชค สุขุมรับปืนมาจากปรมี เชื่อว่าปืนไม่มีลูกกระสุน สุขุมเห็นสมโชคยืนอยู่จึงยกปืนจ้องไปที่สมโชคแล้วเหนี่ยวไกปืน ปรากฏว่าปืนมีลูกกระสุนบรรจุอยู่ ลูกกระสุนปืนถูกสมโชคตาย
ดังนั้น ปรมีและสุขุมต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
วินิจฉัย
ตามปัญหา สุขุมใช้ปืนจ้องไปที่สมโชคและเหนี่ยวไกปืนเพื่อแกล้งขู่สมโชค โดยเชื่อว่าปืนไม่มีลูกกระสุน ดังนั้นจึงถือได้ว่าสุขุมกระทำไปโดยไม่มีเจตนา เพราะสุขุมเข้าใจว่าปืนไม่มีลูกกระสุน สุขุมจึงไม่ประสงค์ต่อผล (ความตายของสมโชค)
หรือย่อมเล็งเห็นว่าจะเกิดผล (ความตายของสมโชค) เช่นนั้นแน่นอน ตามมาตรา 59 วรรคสอง แต่อาวุธปืนเป็นอาวุธที่ร้ายแรง บุคคลในภาวะเช่นว่านั้น (ขณะรับปืนมา) จักต้องมี (มีหน้าที่) ตามวิสัยและพฤติการณ์ (ตรวจดูเสียก่อนว่ามีลูกกระสุนบรรจุอยู่หรือไม่) เมื่อสุขุมไม่ตรวจดูเสียก่อนจึงกระทำไปโดยปราศจากความระมัดระวัง สุขุมกระทำไปโดยประมาท ตามมาตรา 59 วรรคสี่
และสุขุมจะต้องรับผิดในทางอาญา เพราะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท ตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ส่วนปรมีต้องการฆ่าสมโชคจึงหลอกสุขุมว่าปืนไม่มีลูกกระสุน ปรมีใช้สุขุมเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดซึ่งกฎหมายถือว่าปรมีเป็นผู้กระทำความผิดเอง ดังนั้นปรมีจึงกระทำต่อสมโชคโดยเจตนาตามาตรา 59 วรรคสอง และจะต้องรับผิดในทางอาญา เพราะได้กระทำโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง
สรุป ปรมีกระทำต่อสมโชคโดยเจตนาจึงต้องรับผิดในทางอาญา และสุขุมจะต้องรับผิดทางอาญา เพราะกระทำต่อสมโชคโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
ข้อ 2 จเร เป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย ได้ออกตรวจการอยู่เวรยามของลูกน้องพบบริเวณที่อุเทนรับผิดชอบอยู่เวร อุเทนไม่ได้อยู่ตามหน้าที่ จเรพบอุเทนจึงสอบถามดูแต่โดยดี อุเทนกลับพูดโดยไม่ยำเกรงจเรซึ่งเป็นหัวหน้าและตรงเข้าต่อยจเร จเรปัดป้องและชกต่อยตอบโต้ไปบ้าง อุเทนเตะต่อยจเรจนล้มลง พอจเรลุกขึ้น อุเทนใช้มีดแทงไปที่หน้าท้องจเรแล้วอุเทนวิ่งหนี จเรจึงใช้ปืนยิงไปที่ด้านหลังอุเทนหนึ่งนัด กระสุนปืนไม่ถูกอุเทน แต่เลยไปถูกเจนจบซึ่งวิ่งเข้ามาห้ามปรามตาย
ดังนี้ จเรต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
มาตรา 72 ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
วินิจฉัย
ตามปัญหา การที่อุเทนเข้าเตะต่อยจเรก่อน โดยจเรพูดสอบถามดูแต่โดยดี และจเรปัดป้องและโต้ตอบไปบ้างก็เป็นสิทธิของจเรที่จะป้องกันได้ หาจำต้องให้อุเทนทำได้แต่ฝ่ายเดียวไม่ และไม่ใช่เป็นเรื่องสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน เมื่อจเรถูกอุเทนเตะต่อยจนล้มลง พอลุกขึ้นก็ถูกอุเทนแทงที่หน้าท้องแล้วอุเทนวิ่งหนีไป จเรจึงใช้ปืนยิงไปที่ด้านหลังอุเทน ถือว่าจเรได้กระทำต่ออุเทนโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง แต่จเรทำไปเพราะถุกอุเทนข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ทำให้จเรบันดาลโทสะและได้กระทำความผิดต่ออุเทนขณะนั้น
จเรมีความผิดแต่รับโทษน้อยเพียงใดก็ได้ ตามมาตรา 72 จเรจะอ้างว่ากระทำการป้องกันตามมาตรา 68 เพื่อไม่ต้องรับผิดไม่ได้ เพราะขณะจเรใช้ปืนยิงไปที่อุเทนภยันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว ส่วนกระสุนปืนไม่ถูกอุเทนแต่เลยไปถูกเจนจบซึ่งวิ่งเข้ามาห้ามปรามตาย จึงเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป เพราะจเรเจตนากระทำต่ออุเทนแต่ผลเกิดขึ้นแก่เจนจบโดยพลาดไป
จึงถือว่าจเรเจตนากระทำต่อเจนจบตามมาตรา 60 เนื่องจากเจตนาเดิมของจเรกระทำไปโดยบันดาลโทสะผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปนั้น จเรอ้างบันดาลโทสะได้
สรุป จเรเจตนากระทำต่ออุเทนและเจตนากระทำต่อเจนจบโดยพลาด จึงต้องรับผิดทางอาญาแต่จเรกระทำไปขณะบันดาลโทสะ จึงรับโทษน้อยเพียงใดก็ได้
ข้อ 3 เลอสรรค์เลี้ยงสุนัขดุไว้ในบ้าน 5 ตัว เลอสรรค์ทำรั้วบ้านด้วยคอนกรีตสูงสองเมตร และมีซี่ลูกกรงเหล็กต่อขึ้นไปอีกหนึ่งเมตร เลอสรรค์เขียนข้อความติดไว้หน้าประตูรั้วว่า “ห้ามปีนรั้วหรือยื่นมือและเท้าเข้ามาในรั้วเพราะสุนัขดุ”
วันรบกับพวกเตะฟุตบอลอยู่บนถนนหน้าบ้านเลอสรรค์ ลูกฟุตบอลได้เข้าไปในบ้านเลอสรรค์ วันรบได้ปีนรั้วและใช้ไม้เขี่ยลูกฟุตบอลทั้งที่เห็นข้อความติดไว้หน้าประตูรั้ว สุนัขของเลอสรรค์กระโดดกัดข้อมือวันรบและกระชากจนวันรบจะหล่นจากรั้วเข้าไปข้างใน วันรบร้องให้พรรคพวกช่วย ทรงเดชเพื่อนของวันรบได้ใช้ไม้ตีและแทงไปที่หัวสุนัขจนตาสุนัขบอด และยอมปล่อยข้อมือวันรบ
ดังนี้ ทรงเดชต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสี่ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
มาตรา 67 ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อ
ภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
วินิจฉัย
ตามปัญหา ทรงเดชได้ใช้ไม้ตีและแทงไปที่หัวสุนัข ทรงเดชได้กระทำโดยเจตนาต่อทรัพย์แล้ว ตามมาตรา 59 วรรคสอง จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ทรงเดชจะอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันวันรบให้พ้นจากภยันตรายไม่ได้ เพราะการที่วันรบถูกสุนัขกัดได้รับบาดเจ็บนั้น ไม่ใช่ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย เพราะเลอสรรค์เจ้าของสุนัขไม่ได้ก่อให้เกิดภยันตรายนั้นโดยเจตนา หรือประมาทแต่อย่างใด เพราะการที่เลอสรรค์เจ้าของสุนัข ได้ทำรั้วบ้านด้วยคอนกรีตสูงสองเมตรและมีซี่กรงเหล็กต่อขึ้นไปอีกหนึ่งเมตร และเขียนข้อความติดไว้หน้าประตูรั้วว่า “ห้ามปีนรั้วหรือยื่นมือและเท้าเข้ามาในรั้วเพราะสุนัขดุ” นั้นเป็นการกระทำโดยใช้ความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แล้ว (ตามมาตรา 59 วรรคสี่)
วันรบจึงไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะป้องกันตัวเองได้ ด้วยเหตุนี้ ทรงเดชจะอ้างว่าตนกระทำไปโดยป้องกันสิทธิของผู้อื่น ตามมาตรา 68 ไม่ได้ เพาะการป้องกันสิทธิของผู้อื่นนั้นจะกระทำได้ต่อเมื่อผู้จะได้รับความช่วยเหลือนั้นมีอำนาจตามกฎหมายที่จะป้องกันตัวเองได้เท่านั้น ดังนั้น เมื่อวันรบไม่อยู่ในฐานะที่จะป้องกันตนเองได้ตามกฎหมายแล้ว ทรงเดชก็ไม่มีอำนาจที่จะไปช่วยเหลือป้องกันวันรบได้
อย่างไรก็ตาม ทรงเดชอ้างว่ากระทำความผิดด้วยความจำเป็นตามมาตรา 67(2) ได้ เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้ “ผู้อื่น” คือ วันรบพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงจากการถูกสุนัขกัด และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ และภยันตรายนั้น “ตน” คือ ทรงเดชมิได้ก่อให้เกิด เพราะความผิดของตน การกระทำของทรงเดชถือว่าไม่เกินสมควรแก่เหตุเพราะเป็นการทำลายทรัพย์ของบุคคลหนึ่งเพื่อให้อีกบุคคลหนึ่งพ้นจากภยันตรายต่อชีวิตและร่างกาย
สรุป ทรงเดชต้องรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ แต่ไม่ต้องรับโทษ
ข้อ 4 คมสันต์ต้องการฆ่าวันดี คมสันต์จ้างกำภูให้ไปฆ่าวันดี กำภูตกลงกำภูไปขอยืมปืนจากบุญส่ง บุญส่งให้ยืมปืนไปทั้งๆที่รู้ว่ากำภูจะใช้ปืนนั้นไปยิงวันดี เมื่อกำภูได้ปืนและสืบทราบว่าวันดีกลับเข้าบ้านเวลา 21.00 น. ทุกวัน จึงเตรียมไปดักรอยิงวันดีเมื่อกลับเข้าบ้าน ยิ่งยงทราบว่ากำภูจะไปฆ่าวันดี จึงอาสาขับรถจักรยานยนต์ให้กำภูซ้อนท้ายและคอยดูต้นทางให้ ขณะที่กำภูและยิ่งยงดักรอยิงวันดี กำภูเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา 21.00 น. จึงนำปืนออกมาตรวจความเรียบร้อย ปืนเกิดลั่นลูกกระสุนปืนไปถูกวันดีซึ่งกลับเข้าบ้านพอดีถึงแก่ความตาย ดังนี้คมสันต์ กำภู บุญส่ง และยิ่งยง ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก และวรรคสี่ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน หรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น
วินิจฉัย
ตามปัญหา คมสันต์ต้องการฆ่าวันดีจึงจ้างกำภูให้ไปฆ่าวันดี และกำภูตกลงรับจ้างซึ่งในขณะที่กำภูดักรอยิงวันดีอยู่นั้น กำภูหยิบปืนขึ้นมาตรวจความเรียบร้อยทำให้ปืนลั่นลูกกระสุนถูกวันดีตาย เป็นการกระทำโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ กำภูจึงต้องรับผิดทางอาญา เพราะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง
คมสันต์จ้างกำภูไปฆ่าวันดี คมสันต์ก่อให้กำภูกระทำความผิดด้วยการจ้าง คมสันต์จึงเป็นผู้ใช้ให้กำภูกระทำความผิด แต่ความผิดที่กำภูกระทำเกิดขึ้นเพราะความประมาทของกำภูมิได้เกิดจากการกระทำโดยเจตนา คมสันต์จึงมีความผิดในฐานเป็นผู้ใช้ในกรณีที่ความผิดที่ใช้ยังมิได้กระทำลงจึงต้องรับโทษหนึ่งในสาม คมสันไม่ต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้คนตาย เพราะความผิดฐานเป็นผู้ใช้จะต้องกระทำโดยเจตนาเท่านั้น การกระทำโดยประมาทจะมีการใช้ให้กระทำความผิดไม่ได้ตามมาตรา 84
บุญส่งให้กำภูยืมปืนทั้งๆที่รู้ว่ากำภูจะใช้ปืนนั้นไปยิงวันดี บุญส่งได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่กำภูในการกระทำความผิดก่อนหรือหลังกระทำความผิด แต่เนื่องจากกำภูมิได้กระทำความผิดโดยเจตนา บุญส่งจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
ยิ่งยงอาสาขับรถจักรยานยนต์ให้กำภูนั่งซ้อนท้ายและคอยดูต้นทาง ถือว่ายิ่งยงเป็นตัวการเพราะได้ร่วมกระทำโดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เนื่องจากวันดีตายเพราะปืนลั่นซึ่งเกิดจากการกระทำโดยประมาทของกำภู ดังนั้นเมื่อกำภูมิได้กระทำโดยเจตนา ยิ่งยงจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83
สรุป ดังนั้น คมสันต์และกำภูจึงต้องรับผิดทางอาญาดังกล่าวแล้วข้างต้น ส่วนบุญส่งในฐานะผู้สนับสนุนและยิ่งยงในฐานะตัวการไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะกำภูมิได้กระทำโดยเจตนา