การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  วันรบขัยรถยนต์ไปเที่ยว  มีเอกชัยและสุดสวยเพื่อนกันนั่งอยู่ในรถยนต์ด้วย  ระหว่างที่รถยนต์แล่นอยู่นั้น  เอกชัยดื่มน้ำอัดลมหมดแล้วได้เปิดกระจกโยนกระป๋องน้ำอัดลมออกนอกรถ  กระป๋องน้ำอัดลมถูกหัววรชัยที่เดินอยู่บนทางเท้าแตก  วรชัยชักอาวุธปืนยิงไปที่ยางล้อรถยนต์ของวันรบ  กระสุนปืนถูกล้อรถยนต์ทะลุตัวถังรถยนต์ไปถูกสุดสวยตาย

ดังนี้  เอกชัยและวรชัยต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

ความรับผิดของเอกชัย

การที่เอกชัยดื่มน้ำอัดลมหมดแล้วในขณะที่รถกำลังวิ่งเอกชัยได้โยนกระป๋องน้ำอัดลมไปถูกหัววรชัยแตก  การกระทำของเอกชัยเช่นนี้ถือว่าไม่มีเจตนาที่จะกระทำต่อวรชัย  แต่การกระทำดังกล่าวถือเป็นกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาใช้ให้เพียงพอไม่  การกระทำของเอกชัยจึงเป็นการกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  เอกชัยจึงต้องรับผิดในทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

ความรับผิดของวรชัย

การที่วรชัยใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อรถยนต์และกระสุนทะลุตัวถังไปถูกสุดสวยตาย  การกระทำของวรชัยเช่นนี้ถือว่ามิได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลในการกระทำต่อสุดสวย  วรชัยจึงไม่มีเจตนากระทำต่อสุดสวย  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่การกระทำของวรชัยดังกล่าวเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่  การกระทำของวรชัยจึงเป็นการกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  วรชัยจึงต้องรับผิดในทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  เทียบฎีกาที่  1086/2521  และกรณีนี้วรชัยจะอ้างบันดาลโทสะไม่ได้

เพราเหตุว่าแม้วรชัยจะใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อรถยนต์เพราะเหตุที่สุดสวยได้โยนกระป๋องน้ำอัดลมถูกหัวตนก็ตาม  แต่เมื่อวรชัยไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลที่จะกระทำต่อสุดสวยแล้ว  วรชัยจึงอ้างบันดาลโทสะไม่ได้  เพราะการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะนั้น  ต้องเป็นการกระทำโดยมีเจตนาธรรมดา  กล่าวคือ  ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลและมีเจตนาพิเศษคือมีเหตุจูงใจในการกระทำความผิด  เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  เท่านั้น

สำหรับล้อรถยนต์ของวันรบที่เสียหายนั้น  วรชัยต้องรับผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  เพราะวรชัยกระทำไปโดยเจตนาต่อตัวทรัพย์  แต่กรณีนี้วรชัยสามารถอ้างบันดาลโทสะเพื่อให้รับโทษน้อยลงได้  ตามมาตรา  72

สรุป

เอกชัยจะต้องรับผิดในทางอาญาเพราะกระทำโดยประมาท

วรชัยต้องรับผิดในทางอาญาต่อวันรบฐานทำให้เสียทรัพย์  เพราะได้กระทำโดยมีเจตนาแต่รับโทษน้อยลงอันเนื่องมาจากกระทำไปโดยบันดาลโทสะ  และวรชัยต้องรับผิดต่อสุดสวยเพราะได้กระทำโดยประมาทและอ้างบันดาลโทสะเพื่อจะรับโทษน้อยลงไม่ได้

 

ข้อ  2  นายแดงต้องการฆ่านายดำ  แต่เห็นนายขาวเดินมาคิดว่าเป็นนายดำ  จึงยิงนายขาวถึงแก่ความตาย  ความจริงปรากฏว่านายขาวเป็นบิดาของนายแดง  นอกจากนี้กระสุนยังเลยไปถูกนายม่วงได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้ายอีกด้วย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  62  วรรคท้าย  บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด  บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้  สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของนายแดงต่อนายขาว

ตามข้อเท็จจริง  แม้นายแดงจะต้องการฆ่านายดำ  แต่เพราะความเข้าใจผิดคิดว่านายขาวเป็นนายดำ  และได้ลงมือกระทำต่อนายขาวไปแล้ว  นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายขาวผู้ถูกกระทำไม่ได้  เพราะนายแดงมีการกระทำที่ครบองค์ประกอบของความผิด  ทั้งองค์ประกอบภายนอก  (คือผู้กระทำ  การกระทำ  และวัตถุแห่งการกระทำ  รวมทั้งองค์ประกอบภายใน  คือเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  นั้นคือ  นายแดงรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  รวมทั้งยังประสงค์ต่อผลในการกระทำนั้นด้วย  ผลคือความตายของผู้ที่นายแดงลงมือยิง

ดังนั้น  เมื่อนายขาวถึงแก่ความตาย  นายแดงจึงต้องรับผิดต่อนายขาวฐานฆ่าคนตายโดยสำคัญผิด  ตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสอง  ประกอบมาตรา  61  แต่นายแดงไม่ต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายขาวในฐานะที่เป็นบุพการี  เพราะนายแดงไม่รู้ว่าผู้ที่ถูกยิงเป็นบุพการี  ทั้งนี้ตามที่มาตรา  62  วรรคท้าย  วางหลักไว้ว่า  การจะให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น  โดยอาศัยข้อเท็จจริงใดบุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น  เมื่อนายแดงไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าตนกำลังทำต่อบุพการี  จึงจะให้นายแดงรับโทษหนักขึ้นไม่ได้

ความรับผิดของนายแดงต่อนายม่วง

ตามข้อเท็จจริง  นายม่วงเป็นบุคคลที่นายแดงไม่ได้ต้องการให้เกิดผลใดๆ  จากการกระทำของตน  แต่อย่างไรก็ตาม  นายแดงก็ยังต้องรับผิดต่อนายม่วงในความผิดที่กระทำโดยพลาด  นั่นคือ  นายแดงเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่เมื่อผลของการกระทำในครั้งนั้นไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง  มาตรา  60  จึงให้ถือว่านายแดงมีเจตนาต่อผู้ได้รับผลร้ายด้วย  ดังนั้น  เมื่อนายแดงมีเจตนาฆ่าตั้งแต่ต้น  เจตนาที่โอนมายังนายม่วง  คือเจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน  แต่ข้อเท็จจริงนายม่วงได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้ายเท่านั้น  นายแดงจึงต้องรับผิดต่อนายม่วงฐานพยายามฆ่าโดยพลาด  ตามมาตรา  0  ประกอบมาตรา  80

สรุป  นายแดงรับผิดฐานฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดและรับผิดฐานพยายามฆ่านายม่วงโดยพลาด

 

ข้อ  3  แก้วถูกสุนัขจรจัดไล่กัด  แล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้านของกำจัด  เพื่อจะได้พ้นจากถูกสุนัขกัด  พอดีหน้าประตูบ้านของกำจัด  มีก้อยยืนขวางอยู่  แล้วจึงผลักก้อยล้มลง  เพื่อเปิดประตูเข้าบ้านกำจัด  กำจัดเห็นแก้วซึ่งตนไม่รู้จักเข้ามาในบ้านเข้าใจว่าเป็นคนร้าย  กำจัดต่อยแก้วล้มลง  ก้อยซึ่งถูกแก้วผลักล้มลงลุกขึ้นมาได้ใช้ไม้ตีแก้วได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  แก้ว  กำจัด  และก้อย  ต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก และวรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(2)  เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

ความรับผิดของแก้ว

การที่แก้วผลักก้อยล้มลงนั้น  ถือว่าแก้วมีเจตนาทำร้ายร่างกายก้อย  โดยเจตนาประสงค์ต่อผลตามมาตรา  59  วรรคสอง  แก้วจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อก้อยโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่แก้วไม่ต้องรับโทษเพราะแก้วกระทำความผิดด้วยความจำเป็น  กล่าวคือ  เพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง  คือการที่ถูกสุนัขจรจัดไล่กัด  และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้  เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน  และการกระทำนั้นก็ไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุ  ตามมาตรา  67(2)

และการที่แก้วเข้าไปในบ้านกำจัด  แก้วก็ต้องรับผิดทางอาญาเช่นกัน  เพราะได้กระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก  และวรรคสอง แต่เมื่อแก้วกระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนพ้นจากภยันตรายอันใกล้จะถึง  กรณีเช่นนี้แก้วก็ไม่ต้องรับโทษทางอาญา  ตามมาตรา  67(2)  เช่นกัน

ความรับผิดของก้อย

การที่ก้อยใช้ไม้ตีไปที่แก้วถือว่าก้อยมีเจตนาทำร้ายร่างกายแก้วโดยเจตนาประสงค์ต่อผล  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  ก้อยจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อแก้วโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่ก้อยรับโทษน้อยลงอันเนื่องมาจากการกระทำไปโดยบันดาลโทสะ  ตามมาตรา  72  เพราะแก้วได้ผลักก้อยล้มลงก่อน  อันเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  และก้อยได้กระทำต่อแก้วในขณะนั้น

ความรับผิดของกำจัด

กำจัดเป็นเจ้าของบ้าน  แก้วซึ่งกำจัดไม่รู้จักเข้ามาในบ้าน  แม้แก้วจะอ้างว่ากระทำความผิดด้วยความจำเป็นก็ตาม  แต่การกระทำของแก้วถือเป็นภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการกระทำอันละเมิดต่อกฎหมาย  คือการบุกรุก  และเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึง  กำจัดจึงต้องป้องกันสิทธิของตน  เพื่อให้พ้นจากภยันตรายนั้น    การกระทำของกำจัดจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  68  กำจัดไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป 

แก้วต้องรับผิดทางอาญา  เพราะกระทำโดยเจตนาต่อก้อย  แต่ไม่ต้องรับโทษเพราะทำไปโดยความจำเป็น

ก้อยต้องรับผิดทางอาญาเพราะกระทำโดยเจตนาต่อแก้ว  แต่ได้รับโทษน้อยลงเพราะกระทำไปโดยบันดาลโทสะ

กำจัดไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อแก้ว  เพราะกระทำไปโดยป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  4  เสกสมมาหาคมศรที่บ้าน  แล้วได้เล่าถึงเรื่องที่ถูกหมูหินกับพวกเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน  คมศรได้ทราบเรื่องเสกสมดังกล่าว  และเห็นว่า  เสกสมเป็นผู้มีพระคุณต่อตน  จึงตอบแทนบุญคุณเสกสมด้วยการไปฆ่าหมูหิน  คมศรได้ไปดักรอยิงหมูหิน  ขณะที่คมศรเอาปืนออกมาตรวจความเรียบร้อย  เคนผ่านมาพบคมศร  และทราบจากคมศรว่ามาดักยิงหมูหิน  เคนซึ่งมีความโกรธแค้นหมูหินอยู่แล้วได้บอกกับคมศรว่าตนจะอยู่ด้วย  หากคมศรยิงหมูหินไม่ถูก  หรือยิงถูกแต่ไม่ตาย  จะช่วยยิงซ้ำให้ตาย  สาครอยู่บริเวณนั้นได้ยินคมศรกับเคนคุยกัน  สาครอยากให้หมูหินตายเช่นกัน  สาครได้ไปที่บ้านหมูหิน  แล้วหลอกให้หมูหินเดินผ่านมาทางที่คมศรดักรออยู่  โดยที่คมศรไม่ทราบถึงเจตนาของสาคร  คมศรยิงหมูหินตาย  โดยเคนไม่ได้ยิงซ้ำ  ดังนี้  เสกสม  เคน  และสาคร  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของเสกสม

การที่เสกสมมาเล่าเรื่องที่ถูกหมูหินกับพวกเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน  กรณีเช่นนี้  ยังถือไม่ได้ว่าเสกสมมีเจตนาก่อให้คมศรกระทำความผิด  เสกสมจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้  ตามมาตรา  84

ความรับผิดของเคน

เคนได้ทราบถึงเจตนาของคมศร  และเคนก็ได้อยู่ด้วยกับคมศรในขณะกระทำความผิด  กรณีเช่นนี้ถือว่าเคนได้ร่วมกันกระทำความผิดและเจตนาร่วมกันในขณะกระทำความผิด  เคนจึงรับผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

ความรับผิดของสาคร

การที่สาครไปหลอกหมูหินให้เดินผ่านไปที่คมศรดักยิง  กรณีเช่นนี้ถือว่าสาครได้ช่วยเหลือหรือได้ให้ความสะดวกในการให้ผู้อื่นกระทำความผิด  ก่อนหรือขณะกระทำความผิด  แม้คมศรจะไม่รู้ถึงเจตนาของสาครก็ตาม  สาครต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน  ตามมาตรา  86  ต้องรับโทษ  2  ใน  3  ส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น  และในกรณีดังกล่าวนี้  ก็ไม่ถือว่าสาครเป็นตัวการ  ตามมาตรา  83  เพราะเคนและคมศรไม่ได้ทราบถึงเจตนาของสาครจึงไม่ถือว่ามีเจตนาร่วมในขณะกระทำความผิด

สรุป

เสกสมไม่มีความผิดทางอาญา

เคนรับผิดฐานเป็นตัวการร่วม

สาครรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน 

Advertisement