การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 นายก้อนขับรถยนต์บรรทุกเสาไฟฟ้ามาตามถนนในเวลากลางคืน ล้อรถพ่วงที่นายก้อนขับหลุด ทำให้เสาไฟฟ้าตกลงมาขวางถนน นายก้อนเห็นว่าเป็นเวลากลางคืนไม่อาจหาใครมาช่วยยกเสาไฟฟ้าได้
นายก้อนจึงนำรถยนต์เข้าจอดข้างทางรอให้สว่างค่อยหาคนมาช่วย โดยนายก้อนไม่ได้จัดให้มีโคมไฟหรือเครื่องสัญญาณอื่นใดเพื่อให้ผู้ใช้ถนนเห็นเสาที่ขวางถนน ในคืนนั้นเอง นายเก่งขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามถนนไม่เห็นเสาที่ขวางถนนเพราะมืดมาก
รถจักรยานยนต์ที่นายเก่งขับมาชนเสาที่ขวางถนน นายเก่งกระเด็นไปนอนอยู่บนพื้นถนน นายยอดขับรถยนต์มาด้วยความเร็วปกติ นายยอดเห็นนายเก่งนอนอยู่บนพื้นถนนในระยะกระชั้นชิดไม่สามารถห้ามล้อหรือหักหลบได้ทันเพราะหากกระทำไปจะเป็นอันตรายแก่ตนเอง รถยนต์ที่นายยอดขับมาจึงชนนายเก่งตาย
ดังนี้ นายก้อนและนายยอดต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง วรรคสี่ และวรรคห้า บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
มาตรา 67 ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อ
ภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
วินิจฉัย
ตามปัญหาล้อรถพ่วงที่นายก้อนขับมาหลุด ทำให้เสาไฟฟ้าตกลงมาขวางถนนและเป็นเวลากลางคืน นายก้อนมีหน้าที่จัดให้มีโคมไฟหรือเครื่องสัญญาณเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใช้ถนนได้รับอันตรายจากเสาไฟฟ้า แต่นายก้อนไม่ทำ ผลที่เกิดขึ้นคือนายเก่งขับขี่รถจักรยานยนต์มาชนเสานั้นเพราะมองไม่เห็น ดังนี้ถือว่านายก้อนได้กระทำโดยงดเว้นตามมาตรา 59 วรรคแรก และวรรคห้า และตามวิสัยของผู้ขับรถเมื่อมีของตกจากรถและเป็นเวลากลางคืน ในภาวะเช่นนั้นต้องใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ นายก้อนไม่ได้จัดให้มีโคมไฟหรือเครื่องสัญญาณ เมื่อผู้ใช้ถนนมองไม่เห็นว่ามีเสาขวางถนนอยู่ต้องถือว่านายก้อนกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และตามปัญหานายก้อนอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่นายก้อนหาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ ถือว่านายก้อนกระทำโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ และนายก้อนต้องรับผิดต่อผลที่เกิดขึ้นกับนายเก่ง ตามมาตรา 59 วรรคแรก
ส่วนนายยอดขับรถยนต์ตามถนนด้วยความเร็วปกติ เห็นนายเก่งนอนอยู่บนพื้นถนนในระยะกระชั้นชิดไม่สามารถห้ามล้อหรือหักหลบได้ทัน รถยนต์ที่นายยอดขับรถชนนายเก่งตาย นายยอดได้กระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคสอง ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก แต่นายยอดกระทำความผิดด้วยความจำเป็นตามมาตรา 67(2) นายยอดไม่ต้องรับโทษ กรณีมิใช่การกระทำโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ เพราะในวิสัยและพฤติการณ์เช่นนั้นไม่อาจใช้ความระมัดระวังได้
สรุป นายก้อนต้องรับผิดต่อนายเก่งเพราะได้กระทำโดยประมาท ส่วนนายยอดได้กระทำต่อนายเก่งโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษเพราะกระทำความผิดด้วยความจำเป็น
ข้อ 2 นางสาวลิ้นจี่ต้องการฆ่านายมังคุด นางสาวลิ้นจี่เห็นนายองุ่นกำลังเต้นแอโรบิกอยู่ นางสาวลิ้นจี่เข้าใจว่าเป็นนายมังคุด จึงใช้ปืนยิงไปที่นายองุ่น กระสุนปืนถูกนายองุ่นได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาและกระสุนปืนได้เลยไปถูกนางสาวส้มได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ดังนี้ นางสาวลิ้นจี่ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง บุคคลจะรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
มาตรา 61 ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
วินิจฉัย
ความรับผิดของนางสาวลิ้นจี่ต่อนายองุ่น
แม้นางสาวลิ้นจี่จะต้องการฆ่านายมังคุด แต่เมื่อสำคัญผิดไปว่านายองุ่นเป็นนายมังคุด และได้ลงมือกระทำต่อนายองุ่นไปแล้ว นางสาวลิ้นจี่จะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายองุ่นผู้ถูกกระทำไม่ได้ ตามมาตรา 61 จากข้อเท็จจริงเมื่อนายองุ่นได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา นางสาวลิ้นจี่จึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายองุ่นตามมาตรา 59 ประกอบกับมาตรา 61 และมาตรา 80
ความรับผิดของนางสาวลิ้นจี่ต่อนางสาวส้ม
นางสาวลิ้นจี่ต้องรับผิดต่อนางสาวส้มในความผิดที่กระทำโดยพลาด เพราะนางสาวลิ้นจี่เจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทำไปเกิดกับอีกบุคคลหนึ่งด้วย จึงให้ถือว่านางสาวลิ้นจี่มีเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายนั้นด้วย ตามข้อเท็จจริงเมื่อนางสาวส้มได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้ายนางสาวลิ้นจี่จึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านางสาวส้มโดยพลาดตามมาตรา 60 ประกอบกับมาตรา 80
สรุป นางสาวลิ้นจี่รับผิดฐานพยายามฆ่านายองุ่นโดยสำคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59 ประกอบกับมาตรา 61 และมาตรา 80 และรับผิดต่อนางสาวส้มในการกระทำโดยพลาดตามมาตรา 60 ประกอบมาตรา 80
ข้อ 3 นายขะแมได้พาช้างเข้าไปในหมู่บ้านที่มีคนอยู่อาศัยจำนวนมากเพื่อนำกล้วยและอ้อยไปขายให้คนซื้อให้ช้างกิน ซึ่งเป็นการหารายได้ให้นายขะแม
เนื่องจากอากาศร้อนมาก นายขะแมได้นำช้างไปผูกด้วยเชือกไว้กับต้นไม้ ส่วนนายขะแมนอนหลับอยู่โคนต้นไม้ ช้างร้อนและเกิดอาการคุ้มคลั่งกระชากเชือกขาดวิ่งเข้าไปในบริเวณที่มีการเปิดขายของ
นายเอกกลับจากซ้อมยิงปืนเดินเข้ามาในบริเวณนั้น ช้างเห็นนายเอกตรงเข้าไปที่นายเอกแล้วยกงวงฟาดไปที่นายเอก นายเอกได้ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ช้างถูกช้างได้รับบาดเจ็บแล้วนายเอกวิ่งหนี ช้างวิ่งไล่ตาม พอดีมีรถยนต์ของนายหนึ่งจอดขวางอยู่ช้างใช้เท้ากระทืบไปที่รถยนต์นายหนึ่ง รถยนต์ได้รับความเสียหายและนายหนึ่งนอนอยู่ในรถยนต์บาดเจ็บ
ดังนี้ นายขะแมและนายเอกต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสี่ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
วินิจฉัย
ตามปัญหาการที่นายขะแมใช้เชือกผูกช้างไว้กับต้นไม้ในหมู่บ้านที่คนอาศัยจำนวนมาก ซึ่งนายขะแมทราบดีว่าอากาศร้อนมาก และนายขะแมนอนหลับปล่อยให้ช้างอยู่ตามลำพัง นายขะแมกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นว่านั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และนายขะแมอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ ถือว่านายขะแมกระทำโดยประมาท ตามมาตรา 59 วรรคสี่ ซึ่งเป็นการก่อภยันตรายต่อชีวิตของนายเอก และเป็นภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง นายเอกใช้อาวุธปืนยิงช้างเป็นการกระทำต่อผู้ก่อภัยโดยใช้ช้างเป็นเครื่องมือและกระทำพอสมควรแก่เหตุ นายเอกไม่ต้องรับผิดเพราะกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 68 ส่วนช้างเมื่อถูกนายเอกยิงบาดเจ็บได้ไล่ตามนายเอก และใช้เท้ากระทืบรถยนต์ของนายหนึ่ง รถยนต์ของนายหนึ่งเสียหายและนายหนึ่งบาดเจ็บดังนี้ นายเอกไม่ต้องรับผิดต่อนายหนึ่งเพราะการกระทำของนายเอกเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนนายขะแมนั้นได้กระทำโดยประมาทต่อนายเอก แต่นายเอกไม่ได้รับความเสียหาย จะรับผิดฐาน
พยายามก็ไม่ได้เพราะพยายามกระทำความผิดโดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ จึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 59 วรรคแรก แต่นายขะแมต้องรับผิดต่อนายหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งเป็นผลอันเกิดจากความประมาทของนายขะแม ส่วนรถยนต์ของนายหนึ่งเสียหาย นายหนึ่งต้องไปเรียกร้องทางแพ่ง เพราะประมาททำให้ทรัพย์ เสียหายไม่มีกฎหมายบัญญัติ เป็นความผิดทางอาญา
สรุป นายขะแมกระทำโดยประมาท ส่วนนายเอกกระทำโดยเจตนาแต่กระทำเพื่อป้องกันไม่ต้องรับผิด
ข้อ 4 นายช้างและนายมดเป็นเพื่อนรักกัน นายช้างแอบชอบ น.ส.ส้มมานานแล้ว แต่ น.ส.ส้มรักใคร่ชอบอยู่กับนายเสือ วันที่ 10 มกราคม 2551 นายช้างแอบเห็น น.ส.ส้มอยู่ในห้องพักกับนายเสือสองต่อสองจึงโกรธนายเสืออย่างมาก จึงนำเรื่องดังกล่าวมาปรึกษากับนายมด นายมดจึงเห็นว่าควรทำร้ายร่างกายนายเสือให้รู้สำนึกเสียบ้างจะได้ไม่มายุ่งเกี่ยวกับ น.ส.ส้ม
วันที่ 15 มกราคม 2551 นายช้างและนายมด สืบทราบมาว่า น.ส.ส้มจะไปทานข้าวที่ร้านอาหารกับนายเสือ ทั้งสองคนจึงไปที่ร้านอาหารดังกล่าวพร้อมกับอาวุธมีดติดตัวไปด้วย เมื่อ น.ส.ส้มเข้ามาที่ร้านอาหารแห่งนั้น นายช้างและนายมดได้พูดให้ น.ส.ส้มเลิกคบหากับนายเสือ มิฉะนั้นจะทำร้ายนายเสือให้เจ็บตัว ด้วยความกลัว น.ส.ส้มจึงวิ่งหนีออกจากร้านอาหารดังกล่าว และนำความนั้นไปแจ้งให้นายเสือระวังตัว
เมื่อนายเสือรู้เรื่องทั้งหมดก็ไปตามหานายช้างและนายมดที่ร้านอาหารดังกล่าว พอนายเสือไปถึงที่ร้านอาหารแห่งนั้น นายช้างและนายมดก็ได้ลงมือแทงนายเสือก่อน แต่นายเสือหลบได้ทันและคว้าขวดสุราตีไปที่นายช้างและนายมดได้รับบาดเจ็บ
ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า นายช้างและนายมดมีความผิดต่อนายเสือในทางอาญาหรือไม่ อย่างไร และนายเสือ และน.ส.ส้ม มีความรับผิดต่อนายช้างและนายมดในทางอาญาหรือไม่ อย่างไร จะอ้างเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ หรือลดโทษได้หรือไม่ จงวินิจฉัย
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคสอง กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน หรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น
วินิจฉัย
กรณีนายช้างและนายมด บุคคลทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดในทางอาญาหรือไม่เห็นว่า การที่นายช้างและนายมดสมคบคิดกันจะไปร่วมกันทำร้ายร่างกายให้นายเสือได้รับบาดเจ็บ และได้ร่วมกันลงมือใช้มีดแทงนายเสือ ถือว่าทั้งสองคนเป็นตัวการร่วมกันโดยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้อื่น เมื่อนายเสือหลบได้ทัน จึงถือว่านายช้างและนายมดได้พยายามกระทำความผิด ซึ่งกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ทั้งสองต้องรับผิดในทางอาญาในฐานะที่เป็นตัวการร่วมกันพยายามทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามมาตรา 59 วรรคสอง ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 83
ส่วนกรณี น.ส.ส้ม เป็นแต่เพียงผู้มาแจ้งเหตุให้นายเสือระวังตัว หาได้มีเจตนาร่วมกันกับนายเสือ เพื่อทำร้ายร่างกายนายช้างและนายมด จึงไม่เป็นตัวการร่วม ตามมาตรา 83 และมิได้มีเจตนาในการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่นายเสือกระทำความผิดก่อน หรือขณะกระทำความผิด จึงไม่เป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 ดังนั้น น.ส.ส้มจึงไม่มีความผิดในทางอาญา
กรณีนายเสือ เมื่อรู้อยู่แล้วว่านายช้างและนายมดกำลังรอเพื่อทำร้ายนายเสือที่ร้านอาหารก็ไม่ควรที่จะไปที่ร้านอาหารดังกล่าว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่านายช้างและนายมดเข้ามาแทงนายเสือก่อน และนายเสือได้ใช้ขวดสุราตีทำร้ายไปที่นายช้างและนายมดเป็นการโต้ตอบกลับ นายเสือก็มิอาจที่จะอ้างได้ว่าเป็นการกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะผู้ที่จะอ้างป้องกันได้จะต้องมิใช่เป็นผู้มีส่วนผิดในการก่อให้เกิดภยันตรายที่เกิดการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีผู้ที่ก่อภัยขึ้นก่อนหรือผู้ที่สมัครใจวิวาทต่อสู้กัน มิอาจจะอ้างการป้องกันได้ ดังนั้นการที่นายเสือเข้าไปที่ร้านอาหาร แสดงว่านายเสือพร้อมที่จะเผชิญหน้าต่อสู้กับนายช้างและนายมด ถือว่านายเสือสมัครใจที่เข้าวิวาทกับนายช้างและนายมด นายเสือจึงไม่อาจที่จะอ้างได้ว่าเป็นการป้องกันเพื่อยกเว้นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามมาตรา 68 (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2130/2550)
สรุป นายช้างและนายมด ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันพยายามทำร้ายนายเสือ นายเสือต้องรับผิดในทางอาญาฐานทำร้ายนายช้างและนายมด โดยมิอาจอ้างว่าเป็นการป้องกัน ส่วน น.ส.ส้ม ไม่มีความรับผิดทางอาญา