การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายไก่เป็นเจ้าของช้างแม่ลูก ตกลงขายให้นายไข่ ช้างแม่ 5 แสนบาท ช้างลูก 2 แสนบาท แต่นายไข่ไม่มีเงินสด จำนวน 7 แสนบาท ขอชำระค่าลูกช้าง 2 แสนบาทก่อน ส่วนแม่ช้างตกลงกันว่าให้นายไข่ผ่อนชำระ 5 เดือน เดือนละ 1 แสนบาท ชำระครบเมื่อใดนายไก่ก็จะโอนทะเบียนช้างแม่ให้นายไข่ โดยนายไก่ส่งมอบช้างแม่ลูกให้นายไข่แล้ว เมื่อนายไข่ชำระครบ 5 แสนบาท นายไก่ไม่ยอมโอนแม่ช้างให้แก่นายไข่
(1) สัญญาซื้อขายช้างแม่ลูกเป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด
(2) กรรมสิทธิ์ในช้างแม่ลูกเป็นของใคร
(3) นายไข่จะฟ้องให้นายไก่โอนทะเบียนช้างแม่ลูกให้แก่ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 453 อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย
มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
มาตรา 458 กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน
วินิจฉัย
ตามกฎหมาย การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เช่น เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะนั้น จะต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 456 วรรคแรก แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ กฎหมายไม่ได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนแล้วก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ตามมาตรา 456 วรรคสอง
กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้
(1) สัญญาซื้อขายลูกช้างระหว่างนายไก่และนายไข่ เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะเป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดา (ลูกช้างเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา) จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด (มาตรา 453)
ส่วนกรณีสัญญาซื้อขายแม่ช้างนั้น การที่นายไก่ตกลงขายแม่ช้างซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ (สัตว์พาหนะ) ให้นายไข่ในราคา 5 แสนบาท โดยตกลงกันว่าให้นายไข่ผ่อนชำระเป็นเวลา 5 เดือน เดือนละ 1 แสนบาท และเมื่อชำระเงินครบนายไก่จะไปโอนทะเบียนแม่ช้างให้นั้น ถือเป็นกรณีที่คู่สัญญาไม่มีเจตนาจะให้กรรมสิทธิ์ในแม่ช้างโอนไปในขณะทำสัญญาซื้อขาย แต่มีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในภายหลัง ดังนั้น สัญญาซื้อขายแม่ช้างระหว่างนายไก่และนายไข่จึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ตามมาตรา 456 วรรคสอง
(2) เมื่อสัญญาซื้อขายแม่ช้างเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย กรรมสิทธิ์ในแม่ช้างจึงยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อ ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในแม่ช้างจึงยังคงเป็นของนายไก่ ส่วนสัญญาซื้อขายลูกช้างนั้นเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และได้ทำถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในลูกช้างจึงโอนไปเป็นของผู้ซื้อแล้วตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกัน (มาตรา 453 และมาตรา 458) นายไข่ผู้ซื้อจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในลูกช้าง
(3) ส่วนประเด็นที่ว่านายไข่จะฟ้องให้นายไก่โอนทะเบียนแม่ช้างให้แก่ตนได้หรือไม่นั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายไข่ได้ชำระเงินให้นายไก่ครบ 5 แสนบาท อีกทั้งนายไก่ก็ได้ส่งมอบแม่ช้างให้แก่นายไข่แล้วจึงถือว่าสัญญาจะซื้อจะขายแม่ช้างระหว่างนายไก่และนายไข่นั้น มีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีคือ ได้มีการชำระหนี้กันบางส่วนแล้ว ดังนั้น เมื่อนายไก่ผิดสัญญาไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนแม่ช้างให้นายไข่ นายไข่จึงสามารถฟ้องร้องให้นายไก่ไปจดทะเบียนโอนแม่ช้างให้ตนได้ ตามมาตรา 456 วรรคสอง
สรุป
(1) สัญญาซื้อขายลูกช้างเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ส่วนสัญญาซื้อขายแม่ช้าง เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย
(2) กรรมสิทธิ์ในแม่ช้างเป็นของนายไก่ ส่วนกรรมสิทธิ์ในลูกช้างเป็นของนายไข่
(3) นายไข่สามารถฟ้องร้องให้นายไก่ไปจดทะเบียนโอนแม่ช้างให้แก่ตนได้
ข้อ 2 นายดินไปตกลงซื้อตู้ไม้สักทองโบราณจากร้านนายน้ำในราคา 1 แสนบาท และมีข้อตกลงกันว่า นายน้ำเป็นผู้มีหน้าที่ส่งมอบตู้ใบนี้ให้แก่นายดินที่บ้านนายดิน นายดินตรวจสอบตู้จนเป็นที่พอใจแล้ว ในวันส่งมอบตู้ที่บ้าน นายดินเห็นรอยขูดขีดขนาดใหญ่ซึ่งเกิดเหตุจากการขนส่งโดยชัดเจน แต่ก็รับมอบตู้ใบนี้ไว้ ต่อมานายดินรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมที่ตู้ราคาเป็นแสน แต่ขนส่งไม่ระมัดระวังทำให้มีรอย ทำให้เสื่อมราคา นายดินจะฟ้องนายน้ำให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 472 ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด
ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่
มาตรา 473 ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน
(2) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน
(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด
วินิจฉัย
ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ
อย่างไรก็ดี ผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ แต่ผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน เป็นต้น
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดินซื้อตู้ไม้สักทองโบราณจากร้านนายน้ำ และปรากฏว่าตู้ดังกล่าวมีรอยขูดขีดนั้น ย่อมถือว่าตู้ไม้สักทองโบราณที่ตกลงซื้อขายกันนั้นมีความชำรุดบกพร่องเป็นเหตุให้เสื่อมราคา ซึ่งโดยหลัก นายน้ำผู้ขายจะต้องรับผิดต่อนายดินผู้ซื้อ ตามมาตรา 472
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันส่งมอบตู้ที่บ้านของนายดินนั้น นายดินเห็นรอยขูดขีดขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากการขนส่งโดยชัดเจน แต่ก็ยังรับมอบตู้ใบนี้ไว้ จึงเป็นกรณีที่ความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ แต่ผู้ซื้อรับเอาทรัพย์นั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน จึงเข้าข้อยกเว้น นายน้ำผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา 473(2) ดังนั้น นายดินจึงไม่สามารถฟ้องนายน้ำให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้
สรุป นายดินจะฟ้องนายน้ำให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
ข้อ 3 นายลมนำบ้านและที่ดินไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากนายไฟไว้ในราคา 1 ล้านบาท มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ ภายหลังจากทำสัญญากันแล้ว นายไฟเข้ามาอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวเห็นห้องหนึ่งของบ้านส่วนที่ต่อเติมออกไป นายลมเจ้าของเดิมเขียนข้อความต่างๆอย่างหลงใหล คลั่งไคล้ในกลุ่มเสื้อสีที่ตนรังเกียจ จึงรื้อบ้านส่วนนี้และนำไปเผาไฟทิ้ง เมื่อเวลาผ่านไป 10 เดือน นายลมมาไถ่บ้านคืน เจอสภาพบ้านและห้องสุดรักสุดหวงถูกทำลายไป นายลมมีสิทธิจะฟ้องให้นายไฟรับผิดชอบได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 491 อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้
มาตรา 501 ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
วินิจฉัย
การขายฝากนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายฝากย่อมโอนไปเป็นของผู้ซื้อ เพียงแต่มีข้อตกลงกันว่า ผู้ขายฝากอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้ (มาตรา 491) ดังนั้น ผู้ซื้อจึงมีสิทธิใช้สอยและกระทำการใดๆ ในทรัพย์สินนั้นก็ได้ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อก็มีหน้าที่จะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินนั้นอย่างวิญญูชนทั่วไปจะพึงสงวนรักษาและใช้ทรัพย์สินของตนด้วย เพราะเมื่อผู้มีสิทธิไถ่มาขอไถ่คืน ตามมาตรา 501 ได้กำหนดหน้าที่ผู้ซื้อไว้ว่า ทรัพย์สินที่ผู้มีสิทธิไถ่ใช้สิทธิไถ่คืนนั้น ผู้ซื้อต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่หากปรากฏว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลาย หรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อ ผู้ซื้อจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ไถ่ด้วย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายลมนำบ้านและที่ดินไปขายฝากนายไฟไว้ในราคา 1 ล้านบาท มีกำหนดไถ่ภายใน 1 ปี ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นนั้น เมื่อทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นสัญญาขายฝากที่ชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก) นายไฟผู้ซื้อจึงมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินและมีหน้าที่สงวนรักษาทรัพย์สินนั้นอย่างวิญญูชนทั่วไปจะพึงสงวนรักษาและใช้ทรัพย์สินของตน
ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายไฟได้รื้อบ้านส่วนหนึ่งและนำไปเผาไฟทิ้ง จึงถือเป็นกรณีที่นายไฟผู้ซื้อมิได้ใช้สอยและสงวนรักษาทรัพย์สินที่ซื้อฝากอย่างวิญญูชนทั่วไปจะพึงรักษาและใช้ทรัพย์สินของตน และทำให้ทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของนายไฟผู้ซื้อเอง ดังนั้น เมื่อนายลมมาไถ่บ้านคืน เจอสภาพบ้านและห้องสุดรักสุดหวงถูกทำลายไป นายลมจึงมีสิทธิฟ้องให้นายไฟรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนได้ตามมาตรา 501 เพราะถือว่า นายไฟส่งคืนบ้านและที่ดินซึ่งบ้านถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของนายไฟผู้ซื้อ
สรุป นายลมมีสิทธิฟ้องให้นายไฟรับผิดชอบได้