การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายจันทร์ขโมยรถยนต์ของนายอาทิตย์มาขายให้นายอังคาร นายอังคารซื้อโดยสุจริต หลังจากนั้น นายอังคารถูกศาลมีคำพิพากษาให้ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้นายแดง นายอังคารไม่ปฏิบัติตาม คำพิพากษาในชั้นบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดรถยนต์คันนี้ขายทอดตลาด นายพุธเป็นผู้ประมูลซื้อได้ นายพุธซื้อมาแล้วรู้ความจริงว่ารถยนต์คันนี้ไม่ใช่ของนายอังคารและไม่อยากได้ไว้ และขายต่อให้นายพฤหัส ต่อมานายอาทิตย์มาพบรถยนต์คันนี้อยู่กับนายพฤหัส และขอให้นายพฤหัสคืน นายพฤหัสไม่คืน นายอาทิตย์ฟ้องขอให้ศาลบังคับนายพฤหัสคืนรถยนต์ของตนที่ถูกคนร้ายลักไป นายพฤหัสต่อสู้ว่าตนซื้อมาโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน ตนจึงมีสิทธิในรถยนต์คันนี้ ขอให้ศาลยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วได้ข้อเท็จจริงตามที่นายอาทิตย์ฟ้อง และนายพฤหัสให้การต่อสู้ และมีคำพิพากษาให้นายพฤหัสเป็นฝ่ายแพ้คดี ให้คืนรถยนต์คันนี้ให้นายอาทิตย์
ดังนี้ ท่านเห็นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และนายพฤหัสจะเรียกร้องให้นายพุธรับผิดฐานที่ตนไม่สามารถครอบครองรถยนต์คันนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 453 อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย
มาตรา 475 หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น
มาตรา 482 ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิเมื่อกรณีเป็นดังกล่าวต่อไปนี้คือ
(2) ถ้าผู้ซื้อไม่ได้เรียกผู้ขายเข้ามาในคดี และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่า ถ้าได้เรียกเข้ามาคดีฝ่ายผู้ซื้อจะชนะ
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัย คือ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 453 มีหลักอยู่ว่า ผู้ขายจะมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายอยู่ในเวลาซื้อขายหรือไม่ก็ตาม ผู้ขายจะต้องให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ด้วยการชำระราคา ดังนั้น หากมีบุคคลภายนอกเข้ามารบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อ ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินได้โดยปกติสุข เพราะบุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดังกล่าวในเวลาซื้อขาย หรือที่เรียกว่าการรอนสิทธิตามมาตรา 475 นั้นผู้ซื้อจะต้องต่อสู้ถึงสิทธิของผู้ขายว่ามีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายอย่างไร เพื่อแสดงถึงสิทธิของตนในฐานะผู้ซื้อ
ตามข้อเท็จจริง การที่นายอาทิตย์เจ้าของรถยนต์ที่แท้จริง ฟ้องขอให้ศาลบังคับนายพฤหัสคืนรถยนต์ของตนนั้น นายพฤหัสจะต้องต่อสู้ถึงสิทธิของนายพุธผู้ขายว่า นายพุธได้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต นายพุธจึงมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้น (ตามมาตรา 1330) และเมื่อตนซื้อรถยนต์มาจากนายพุธ ตนย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นด้วย แต่เมื่อปรากฏว่า นายพฤหัสต่อสู้เพียงว่า ซื้อรถยนต์มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนโดยหาได้ต่อสู้ถึงสิทธิของนายพุธไม่ ดังนั้น นายพฤหัสจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ตามหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้นายพฤหัสเป็นฝ่ายแพ้คดีและให้คืนรถยนต์คันนี้ให้นายอาทิตย์ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
และประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า นายพฤหัสจะเรียกร้องให้นายพุธรับผิดฐานที่ตนไม่สามารถครอบครองรถยนต์คันนี้ได้หรือไม่ เห็นว่า โดยหลักแล้ว หากมีการรอนสิทธิเกิดขึ้น ผู้ขายจะต้องรับผิดเพราะเหตุแห่งการรอนสิทธินั้นตามมาตรา 475 แต่หากผู้ซื้อไม่ได้เรียกผู้ขายเข้ามาในคดี และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าถ้าได้เรียกเข้ามา คดีฝ่ายผู้ซื้อจะชนะ ดังนี้ ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธินั้นตามมาตรา 482(2)
ตามข้อเท็จจริง การที่นายอาทิตย์ฟ้องขอให้ศาลบังคับนายพฤหัสคืนรถยนต์ของตนที่ถูกคนร้ายลักไปจนทำให้นายพฤหัสไม่สามารถครอบครองรถยนต์คันนี้ได้นั้น ย่อมถือเป็นกรณีที่นายพฤหัสผู้ซื้อถูกรอนสิทธิตามมาตรา 475 แต่เมื่อปรากฏว่า นายพฤหัสไม่ได้เรียกนายพุธเข้ามาในคดี นายพฤหัสจึงเรียกร้องให้นายพุธรับผิดในการรอนสิทธิไม่ได้ เพราะนายพุธย่อมพิสูจน์ได้ว่า ถ้านายพฤหัสเรียกตนเข้ามาในคดี คดีนี้นายพฤหัสจะเป็นฝ่ายชนะคดีตามมาตรา 482(2)
สรุป คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว และนายพฤหัสจะเรียกร้องให้นายพุธรับผิดฐานที่ตนไม่สามารถครอบครองรถยนต์คันนี้ไม่ได้
ข้อ 2 นายไก่ไปซื้อรถยนต์จากการขายทอดตลาดของนายไข่ ซึ่งในการขายทอดตลาดครั้งนี้ นายไข่แจ้งให้ผู้เข้าสู้ราคาทราบโดยทั่วกันว่า ถ้าเกิดความชำรุดบกพร่องหรือการรอนสิทธิอย่างใดๆขึ้น นายไข่จะไม่รับผิดชอบทั้งสิ้น นายไก่ซื้อรถยนต์ไป 2 คัน หลังจากการรับมอบรถยนต์ไปได้เพียงสองอาทิตย์เท่านั้น เครื่องยนต์ของรถยนต์คันหนึ่งก็เกิดปัญหาวิ่งไม่ได้ ส่วนอีกคันนายแดงมาอ้างเป็นรถยนต์ของตนซึ่งถูกขโมยไปโดยมีพยานหลักฐานพร้อมมาแสดง นายไก่จึงจำต้องคืนรถยนต์ให้นายแดง
นายไก่จะฟ้องนายไข่ให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิที่เกิดกับรถยนต์ซึ่งตนซื้อมาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 472 ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด
ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่
มาตรา 473 ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด
มาตรา 475 หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น
มาตรา 483 คู่สัญญาซื้อขายตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้
วินิจฉัย
ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ
อย่างไรก็ดี ผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายไข่ และปรากฏว่ารถยนต์คันหนึ่งเกิดปัญหาวิ่งไม่ได้นั้น ย่อมถือว่ารถยนต์ที่ตกลงซื้อขายกันนั้นมีความชำรุดบกพร่อง เป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันจะมุ่งใช้เป็นปกติ ซึ่งโดยหลักนายไข่ผู้ขายจะต้องรับผิดต่อนายไก่ผู้ซื้อ ตามมาตรา 472 แต่อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ นายไก่จะฟ้องให้นายไข่รับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้ เนื่องจากรถยนต์ที่นายไก่ซื้อมาจากนายไข่นั้น เป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาด จึงเข้าข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา 473(3)
ส่วนความผิดในการรอนสิทธิตามมาตรา 475 นั้น เป็นกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขาย ได้เข้ามารบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อ ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินนั้นโดยปกติสุข ซึ่งโดยหลักแล้วผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ เว้นแต่ผู้ขายและผู้ซื้อจะได้ตกลงกันไว้ว่า ผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพราะการรอนสิทธินั้นตามมาตรา 483
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่ผู้ซื้อได้ถูกรอนสิทธิ คือได้ถูกนายแดงเจ้าของที่แท้จริงของรถยนต์อีกคันหนึ่งที่นายไก่ซื้อมาจากการขายทอดตลาดของนายไข่นั้นติดตามเอาคืนไป ดังนี้โดยหลักแล้วนายไก่ย่อมสามารถฟ้องนายไข่ให้รับผิดในกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข้อตกลงกันไว้ว่า หากเกิดความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิอย่างใดๆขึ้น นายไข่ผู้ขายไม่ต้องรับผิด ดังนั้น นายไข่จึงไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิดังกล่าว ตามมาตรา 475 และมาตรา 483
สรุป นายไก่จะฟ้องนายไข่ให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ตนซื้อมาไม่ได้
ข้อ 3 นายจันทร์นำบ้านที่ดิน และเรือมีระวาง 4 ตันไปขายฝากไว้กับนายอังคาร บ้านที่ดิน ขายฝากไว้ในราคา 1 ล้านบาท ส่วนเรือขายฝากไว้ในราคา 3 แสนบาท มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ โดยมีการส่งมอบบ้านที่ดิน เรือ และมีการชำระราคาเรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี 1 วัน นายจันทร์ไปขอไถ่บ้านที่ดินและเรือคืน นายอังคารปฏิเสธว่าเลยกำหนดเวลาแล้ว
คำปฏิเสธของนายอังคารรับฟังได้หรือไม่ และนายจันทร์มีโอกาสที่จะได้บ้านที่ดินและเรือคืนตามบทบัญญัติกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 456 วรรคแรก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
มาตรา 491 อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้
มาตรา 494 ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้
(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย
(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กำหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย
วินิจฉัย
สัญญาขายฝาก เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้ เมื่อเป็นสัญญาซื้อขาย จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม ดังนั้น การขายฝากอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เช่น เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์นำบ้านที่ดินและเรือมีระวาง 4 ตัน ไปขายฝากไว้กับนายอังคาร โดยมีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปีนั้น เมื่อปรากฏว่า เรือระวาง 4 ตัน ไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ตามมาตรา 456 วรรคแรก การขายฝากจึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้น สัญญาขายฝากเรือจึงมีผลสมบูรณ์ เมื่อนายจันทร์ไปขอไถ่เรือคืนเมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี 1 วัน ซึ่งเกินกำหนดไถ่ไป 1 วันแล้ว นายอังคารผู้รับซื้อฝากย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ให้นายจันทร์ไถ่คืนได้ ตามมาตรา 494 และมาตรา 491 ดังนั้น คำปฏิเสธของนายอังคารในกรณีของเรือจึงรับฟังได้ และนายจันทร์ไม่มีโอกาสที่จะได้เรือคืนตามบทบัญญัติกฎหมาย
ส่วนกรณีของบ้านและที่ดินนั้น ถือเป็นอสังหาริมทรัพย์เมื่อการขายฝากไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาขายฝากจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก คู่กรณีจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนมิได้มีการทำสัญญากัน ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินจึงยังคงเป็นของนายจันทร์ และต้องนำหลักกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ กล่าวคือ นายจันทร์จะต้องคืนเงินราคาขายฝาก 1 ล้านบาท ให้แก่นายอังคาร ส่วนนายอังคารก็ต้องคืนบ้านและที่ดินให้แก่นายจันทร์ไปเช่นกัน ดังนั้น คำปฏิเสธของนายอังคารในกรณีของบ้านและที่ดินจึงรับฟังไม่ได้ และนายจันทร์ย่อมมีสิทธิที่จะได้บ้านและที่ดินคืน
สรุป คำปฏิเสธของนายอังคารในกรณีของเรือรับฟังได้ และนายจันทร์ไม่มีสิทธิที่จะได้เรือคืน ส่วนคำปฏิเสธของนายอังคารในกรณีของบ้านและที่ดินนั้นรับฟังไม่ได้ และนายจันทร์มีสิทธิที่จะได้บ้านและที่ดินคืน