การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ให้อธิบายถึงโครงสร้างของรัฐ ระบบการปกครอง และการจัดตั้งสถาบันการปกครองหลักของประเทศสหรัฐอเมริกา มาตามที่เข้าใจ
ธงคำตอบ
ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นแม่แบบของการปกครองในระบบประธานาธิบดี โดยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างแบบรัฐรวมในลักษณะของการรวมตัวแบบเหนียวแน่น ที่เรียกว่า “สหพันธรัฐ” หรือเรียกสั้นๆว่า “สหรัฐ” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันโดยใช้เกณฑ์แห่งความเสมอภาคระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กที่เป็นสมาชิก รัฐสมาชิกดังกล่าวยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจบางประการให้กับศูนย์กลางแห่งอำนาจ ยอมให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจปกครองร่วมกัน โดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญใหม่” หรือ “รัฐธรรมนูญกลาง”
ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบบประธานาธิบดี มี 2 ประการ คือ
1 ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน
2 มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร กล่าวคือ เป็นอิสระจากกัน ไม่มีมาตรการล้มล้างซึ่งกันและกัน ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีอำนาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร และในทางกลับกันฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร สังเกตว่าในข้อนี้จะแตกต่างจากการปกครองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน
การจัดตั้งสถาบันการปกครองของสหรัฐอเมริกา มีดังนี้
ก. สถาบันนิติบัญญัติ (สภาคองเกรส)
รัฐสภาอเมริกัน เรียกว่า “สภาคองเกรส” (Zcongress) ประกอบด้วย 2 สภา คือ
1 สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แบบเสียงข้างมากรอบเดียว มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 2 ปี มีจำนวนทั้งสิ้น 435 คน รวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศูนย์กลางแห่งอำนาจหรือที่เรียกว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิเศษของวอชิงตัน ดี.ซี.” อีก 3 คน ฉะนั้นจึงมีจำนวนทั้งหมด 438 คน
คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ ต้องมีอายุ 25 ปีขึ้นไป และมีสัญชาติอเมริกันมาแล้วอย่างน้อย 7 ปี
2 สภาสูงหรือวุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 2 คนต่อ 1 มลรัฐ รวมทั้งสิ้นจำนวน 100 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี แต่สมาชิก 1 ใน 3 ของทั้งหมดจะต้องถูกจับสลากออกไปสมัครเข้ารับการเลือกตั้งใหม่ทุกๆ 2 ปี ในระหว่างที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
คุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา คือ ต้องมีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปและได้สัญชาติอเมริกันมาแล้ว 9 ปีขึ้นไป
สมาชิกของสภาคองเกรสได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองเช่นเดียวกับสมาชิกของสภาทั่วๆไปในรัฐสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังได้รับการยกเว้นภาษี ค่าใช้จ่ายของเลขานุการ เงื่อนไขในการทำงานของสมาชิกสภาคองเกรสยังดีกว่าสมาชิกของประเทศอื่นๆโดยเฉพาะทางด้านข้อมูลข่าวสาร
อำนาจหน้าที่ของสภาคองเกรส
1 อำนาจในการตรากฎหมายและการตรากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณ ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างมีอำนาจในเรื่องนี้อย่างเท่าเทียมกัน ยกเว้นในเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีอากรจะต้องริเริ่มโดยสภาผู้แทนราษฎร
2 อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การริเริ่มการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีได้ทั้งจากสภาคองเกรส หรือจากสภานิติบัญญัติของมลรัฐต่างๆ
3 อำนาจในการเลือกตั้งแทน เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ถ้าปรากฏว่าผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน กรณีนี้สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดีส่วนวุฒิสภาก็จะใช้สิทธิเลือกรองประธานาธิบดี
4 อำนาจอื่นๆของสภาคองเกรส เช่น ดูแลการบริหารของหน่วยงานบริการสาธารณสุขตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา
อำนาจหน้าที่เฉพาะของสภาสูงหรือวุฒิสภาของอเมริกา
1 ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหพันธรัฐ
2 ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศ โดยต้องได้รับการให้สัตยาบันจากสภาสูงด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3
ข. สถาบันบริหารของสหรัฐอเมริกา
ฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาล
ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ อยู่เพียง 2 พรรค คือ พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม กล่าวคือ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” (Big Elector) เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้
การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ “Ticket” เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน มีขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1
พรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคดังกล่าว จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ ซึ่งมีทั้งหมด 50 มลรัฐ เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ Convention เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย
ขั้นตอนที่ 2
กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อย่างเช่น มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30 คน และสมาชิกวุฒิสภาอีก 2 คน ดังนั้นรวมแล้วได้ 32 คน ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ 32 รายชื่อ เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น และจะต้องเลือกทั้ง 32 คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่
สำหรับ “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” นั้นมีทั้งหมด 538 คน ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (435 + 3 + 100 ) โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด คือ จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป
ดังนั้นจะเห็นว่า หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก 50 มลรัฐของแต่ละพรรค ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง 270 เสียง คือ เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด (กึ่งหนึ่ง = 269) ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี
ขั้นตอนที่ 3
ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน 538 คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป ก็หมายความว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี
โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร
วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็คือ 4 ปี ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่ และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี
ค. สถาบันตุลาการ (ศาลยุติธรรมสูงสุด)
ศาลสูงสุดของอเมริกา ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงโดยหน้าที่หลักๆของศาลสูงสุดของอเมริกา ได้แก่
1 ควบคุมดูแลมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญกลาง
2 พิจารณาพิพากษาในกรณีมีการกล่าวหาทูต กงสุล รัฐมนตรี หรือรัฐสมาชิก
ข้อ 2 การยุบสภาคืออะไร และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยุบสภาไว้อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ
ธงคำตอบ
ความหมายของ “การยุบสภา” นั้น ในทางทฤษฎี หมายถึง มาตรการของฝ่ายบริหารในการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติ อันมีผลทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดมีอันสิ้นสุดลง
อำนาจในการยุบสภานี้ ถือว่าเป็นสาระสำคัญของระบอบปกครองแบบรัฐสภา ซึ่งมีการถ่วงดุลอำนาจกันระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ ฝ่ายบริหารสามารถยุบสภาได้ และฝ่ายนิติบัญญัติสามารถลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร (ฝ่ายรัฐบาล) ได้
การยุบสภานั้น อาจเนื่องมาจากสาเหตุสำคัญ ดังนี้ คือ
1 ในกรณีเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งไม่สามารถหาข้อยุติได้ จึงจำเป็นต้องยุบสภา เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกต้อง
2 ในกรณีที่รัฐบาลเห็นว่า ในขณะที่จะยุบสภานั้น คะแนนนิยมของรัฐบาลกำลังดี และหากมีการเลือกตั้งใหม่ในขณะนั้น ฝ่ายรัฐบาลจะมีโอกาสได้รับชัยชนะ ได้ที่นั่งในสภามากมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลอีก จึงทำการยุบสภาเสีย
สำหรับการยุบสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550นั้น มีบัญญัติไว้ในมาตรา 108 ว่า
“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”
จากบทบัญญัติดังกล่าว การยุบสภานั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ
1 การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และจะทรงใช้พระราชอำนาจนี้ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชานุญาตเท่านั้น
2 การยุบสภาผู้แทนราษฎร ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ย่อมมีผลเป็นการยุบสภาทันที
3 ในการยุบสภาตามข้อ 2 ต้องมีการกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันยุบสภา และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
4 การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน กล่าวคือ ถ้าหากจะมีการยุบสภาอีกครั้ง จะอ้างเหตุผลหรือเหตุการณ์ที่ใช้ในการยุบสภาครั้งก่อนไม่ได้
5 การยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่จะกระทำลงก่อนครบกำหนดวาระของสภาผู้แทนราษฎร กล่าวคือ จะกระทำในเวลาใดก็ได้ในช่วงก่อนสภาผู้แทนราษฎรมีวาระครบ 4 ปี
6 ในกรณีที่ได้มีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ (มาตรา 158 วรรคแรก)
ข้อ 3 จงอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ธงคำตอบ
อำนาจนิติบัญญัติ มีรัฐสภาเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้ คือ
1 สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกอบด้วยสมาชิก 480 คน โดยเป็นสมาชิก
– มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน
– มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน 80 คน
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
การคำนวณจำนวนสมาชิกฯ ให้นำจำนวนราษฎรทั้งประเทศในปีก่อนปีที่มีการเลือกตั้งหารด้วย 400 จะได้เกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน จังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ถ้าจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คน
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน
– ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น
– เขตเลือกตั้งแบบสัดส่วน ให้แบ่งพื้นที่ประเทศออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด โดยจัดจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน และให้แต่ละกลุ่มจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ละเขตเลือกตั้งให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 10 คน
2 วุฒิสภา (ส.ว.)
วุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คน ซึ่งมาจาก
– การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 76 คน
– การสรรหา รวม 74 คน
การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา
ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา
การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่ง ประกอบด้วย
(1) ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
(2) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
(3) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
(4) ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(5) ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
(6) ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย 1 คน
(7) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย 1 คน
ข้อ 4 นายเอกและนายโท ซึ่งเป็นรัฐมนตรีฯ ได้ถูกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 200 คน เข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภาถอดถอนออกจากตำแหน่ง เนื่องจากได้กระทำการเป็นแกนนำในการเสนอร่างพระราชบัญญัติฯที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ อันเป็นการกระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญ และจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ ต่อมาประธานวุฒิสภาได้ส่งคำร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า มีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ ร่างพระราชบัญญัติฯตามคำร้องขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และการกระทำของนายเอกและนายโทในการเสนอร่างพระราชบัญญัติฯดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่ากรณีดังกล่าวมิใช่อำนาจหน้าที่ของตน แต่กรณีนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ จึงได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้พิจารณาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
มาตรา 154 ร่างพระราชบัญญัติใดที่รัฐสภาเห็นชอบแล้ว ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยตามมาตรา 150 หรือร่างพระราชบัญญัติใดที่รัฐสภาลงมติยืนยันตามมาตรา 151 ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีกครั้งหนึ่ง
(1) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า
มาตรา 214 ในกรณีที่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างรัฐสภา คณะรัฐมนตรีหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มิใช่ศาลตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป ให้ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี หรือองค์กรนั้นเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณา ซึ่งเรื่องที่ส่งไปนั้นมีปัญหาที่ต้องพิจารณาอยู่ 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก ร่างพระราชบัญญัติฯตามคำร้องขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และประเด็นที่สอง คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาว่า การกระทำของนายเอกและนายโทในการเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ กรณีดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้พิจารณาได้หรือไม่ เห็นว่า
ประเด็นแรก โดยปกติศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติฯ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ตามมาตรา 154(1) แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภาเป็นผู้มีความเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติฯนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และได้ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย แต่ตามข้อเท็จจริง ผู้ที่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญคือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติให้อำนาจไว้แต่อย่างใด ดังนั้นกรณีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้พิจารณาไม่ได้
ประเด็นที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตามที่องค์กรนั้นเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 214 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป แต่ตามข้อเท็จจริงจะเห็นว่า เป็นเรื่องที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญเพียงองค์กรเดียวคือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เท่านั้นที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ซึ่งมิใช่กรณีที่มีความขัดแย้งระหว่างองค์กรตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป กรณีดังกล่าวจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 214 ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้พิจารณาไม่ได้
สรุป ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะรับคำร้องของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้พิจารณา