การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 ให้อธิบายถึงโครงสร้าง รูปการปกครอง และการจัดตั้งสถาบันการปกครองหลักของประเทศสหรัฐอเมริกามาตามที่เข้าใจ
ธงคำตอบ
ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นแม่แบบของการปกครองในระบบประธานาธิบดี โดยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างแบบรัฐรวมในลักษณะของการรวมตัวแบบเหนียวแน่น ที่เรียกว่า “สหพันธรัฐ” หรือเรียกสั้นๆว่า “สหรัฐ” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันโดยใช้เกณฑ์แห่งความเสมอภาคระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กที่เป็นสมาชิก รัฐสมาชิกดังกล่าวยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจบางประการให้กับศูนย์กลางแห่งอำนาจ ยอมให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจปกครองร่วมกัน โดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญใหม่” หรือ “รัฐธรรมนูญกลาง”
ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบบประธานาธิบดี มี 2 ประการ คือ
1 ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน
2 มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร กล่าวคือ เป็นอิสระจากกัน ไม่มีมาตรการล้มล้างซึ่งกันและกัน ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีอำนาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร และในทางกลับกันฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร สังเกตว่าในข้อนี้จะแตกต่างจากการปกครองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน
การจัดตั้งสถาบันการปกครองของสหรัฐอเมริกา มีดังนี้
ก. สถาบันนิติบัญญัติ (สภาคองเกรส)
รัฐสภาอเมริกัน เรียกว่า “สภาคองเกรส” (Zcongress) ประกอบด้วย 2 สภา คือ
1 สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากกการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แบบเสียงข้างมากรอบเดียว มีวาระในการดำลงตำแหน่ง 2 ปี มีจำนวนทั้งสิ้น 435 คน รวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศูนย์กลางแห่งอำนาจหรือที่เรียกว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิเศษของวอชิงตัน ดี.ซี.” อีก 3 คน ฉะนั้นจึงมีจำนวนทั้งหมด 438 คน
คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ ต้องมีอายุ 25 ปีขึ้นไป และมีสัญชาติอเมริกันมาแล้วอย่างน้อย 7 ปี
2 สภาสูงหรือวุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 2 คนต่อ 1 มลรัฐ รวมทั้งสิ้นจำนวน 100 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี แต่สมาชิก 1 ใน 3 ของทั้งหมดจะต้องจับถูกสลากออกไปสมัครเข้ารับการเลือกตั้งใหม่ทุกๆ 2 ปี ในระหว่างที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
คุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา คือ ต้องมีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปและได้สัญชาติอเมริกันมาแล้ว 9 ปีขึ้นไป
สมาชิกของสภาคองเกรสได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองเช่นเดียวกับสมาชิกของสภาทั่วๆไปในรัฐสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังได้รับการยกเว้นภาษี ค่าใช้จ่ายของเลขานุการ เงื่อนไขในการทำงานของสมาชิกสภาคองเกรสยังดีกว่าสมาชิกของประเทศอื่นๆโดยเฉพาะทางด้านข้อมูลข่าวสาร
อำนาจหน้าที่ของสภาเกรส
1 อำนาจในการตรากฎหมายและการตรากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณ ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างมีอำนาจในเรื่องนี้อย่างเท่าเทียมกัน ยกเว้นในเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีอากรจะต้องริเริ่มโดยสภาผู้แทนราษฎร
2 อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การริเริ่มการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีได้ทั้งจากสภาคองเกรส หรือจากสภานิติบัญญัติของมลรัฐต่างๆ
3 อำนาจในการเลือกตั้งแทน เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ถ้าปรากฏว่าผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน กรณีนี้สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดีส่วนวุฒิสภาก็จะใช้สิทธิเลือกรองประธานาธิบดี
4 อำนาจอื่นๆของสภาคองเกรส เช่น ดูแลการบริหารของหน่วยงานบริการสาธารณสุขตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา
อำนาจหน้าที่เฉพาะของสภาสูงหรือวุฒิสภาของอเมริกา
1 ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหพันธรัฐ
2 ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศ โดยต้องได้รับการให้สัตยาบันจากสภาสูงด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3
ข. สถาบันบริหารของสหรัฐอเมริกา
ฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาล
ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ อยู่เพียง 2 พรรค คือ พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม กล่าวคือ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” (Big Elector) เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้
การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ “Ticket” เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน มีขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1
พรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคดังกล่าว จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ ซึ่งมีทั้งหมด 50 มลรัฐ เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ Convention เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย
ขั้นตอนที่ 2
กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งคามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อย่างเช่น มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30 คน และสมาชิกวุฒิสภาอีก 2 คน ดังนั้นรวมแล้วได้ 32 คน ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ 32 รายชื่อ เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น และจะต้องเลือกทั้ง 32 คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่
สำหรับ “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” นั้นมีทั้งหมด 538 คน ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (435 + 3 + 100 ) โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด คือ จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป
ดังนั้นจะเห็นว่า หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก 50 มลรัฐของแต่ละพรรค ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง 270 เสียง คือ เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด (กึ่งหนึ่ง = 269) ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี
ขั้นตอนที่ 3
ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน 538 คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป ก็หมายความว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี
โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร
วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็คือ 4 ปี ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่ และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี
ค. สถาบันตุลาการ (ศาลยุติธรรมสูงสุด)
ศาลสูงสุดของอเมริกา ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงโดยหน้าที่หลักๆของศาลสูงสุดของอเมริกา ได้แก่
1 ควบคุมดูแลมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญกลาง
2 พิจารณาพิพากษาในกรณีมีการกล่าวหาทูต กงสุล รัฐมนตรี หรือรัฐสมาชิก
ข้อ 2 ให้อธิบายถึงรูปการปกครองของประเทศไทย และวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของสถาบันนิติบัญญัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2550) มาตามที่เข้าใจ
ธงคำตอบ
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 (ฉบับปัจจุบัน) กำหนดให้ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การปกครองในระบบรัฐสภา เป็นระบบการปกครองที่องค์กรซึ่งใช้อำนาจในทางการเมืองทั้ง 2 องค์กร คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร มีความสัมพันธ์และพึ่งพาอาศัยกันในการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งมีมาตรการในการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันด้วย
การปกครองในระบบรัฐสภานั้นมีหลักการที่สำคัญคือ ฝ่ายบริหารต้องมีความรับผิดชอบในทางการเมืองต่อฝ่ายนิติบัญญัติ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฝ่ายบริหารมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินก็โดยอาศัยความไว้วางใจของฝ่ายนิติบัญญัติ เมื่อใดที่ฝ่ายนิติบัญญัติแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจ เมื่อนั้นถือได้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติต้องการถอดถอนฝ่ายบริหาร
การรับผิดชอบในทางการเมืองของฝ่ายบริหารนั้นจำกัดเฉพาะคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการอย่างแท้จริงเท่านั้น องค์ประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในทางการเมืองแต่อย่างใด
การแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจของฝ่ายนิติบัญญัตินี้ อาจจะเป็นการกระทำโดยตรงซึ่งได้แก่ การที่สภานิติบัญญัติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อฝ่ายบริหารหรืออาจจะเป็นการกระทำทางอ้อม ซึ่งได้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมายสำคัญที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณาอนุมัติ เช่น ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นต้น นอกจากนี้ฝ่ายนิติบัญญัติยังมีอำนาจตั้งกระทู้ถามต่อฝ่ายบริหารได้อีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามการปกครองในระบบรัฐสภานั้น ถึงแม้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะมีอำนาจถอดถอนฝ่ายบริหารด้วยการแสดงออกซึ่งความไม่ไว้วางใจ ในทำนองเดียวกันฝ่ายบริหารก็มีมาตรการโต้ตอบฝ่ายนิติบัญญัติ ในกรณีที่ฝ่ายบริหารเชื่อมั่นว่าฝ่ายบริหารกระทำการด้วยความถูกต้องตรงกับเจตนารมณ์ของประชาชน กล่าวคือ ฝ่ายบริหารมีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร
สำหรับฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) ของไทยนั้น ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งมีที่มาหรือวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งดังนี้คือ
ก. สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
1 สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกอบด้วยสมาชิก 480 คน โดยเป็นสมาชิก
– มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน
– มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน 80 คน (มาตรา 93)
2 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
– การคำนวณจำนวนสมาชิกฯ ให้นำจำนวนราษฎรทั้งประเทศในปีก่อนปีที่มีการเลือกตั้งหารด้วย 400 จะได้เกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน เช่น จังหวัด ก. มีราษฎร 472,500 คน ดังนั้นสามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตได้ 3 คน เป็นต้น
– จังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ถ้าจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คน (มาตรา 94)
3 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน
– ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น โดยพรรคการเมืองหนึ่งจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกเขตเลือกตั้งหรือจะส่งเพียงบางเขตเลือกตั้งก็ได้ ทั้งนี้รายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบสัดส่วนต้องไม่ซ้ำกับรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขต และต้องคำนึงถึงโอกาสสัดส่วนที่เหมาะสม และความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิงด้วย (มาตรา 95 , 97 )
– เขตเลือกตั้งแบบสัดส่วน ให้แบ่งพื้นที่ประเทศออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด โดยจัดจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกันอยู่ในกลุ่มจังหวัดเดียวกัน และให้แต่ละกลุ่มจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ละเขตเลือกตั้งให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 10 คน (มาตรา 96)
– ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับในเขตเลือกตั้งนั้นมารวมกัน แล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมือง เป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น คะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับ และจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนในเขตเลือกตั้งนั้น (มาตรา 98)
ข. วุฒิสภา (ส.ว.)
1 วุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คน ซึ่งมาจาก
– การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 76 คน
– การสรรหา รวม 74 คน (มาตรา 111)
2 การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา
ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา (มาตรา 112)
3 การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่ง ประกอบด้วย
(1) ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
(2) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
(3) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
(4) ประธานคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(5) ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
(6) ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย 1 คน
(7) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย 1 คน (มาตรา 113)
ข้อ 3 นายบาบู ซึ่งถือศาสนาฮินดูและเป็นเจ้าของร้านอาหาร “อินเดียเลิศรส” ไม่พอใจที่มีกลุ่มชาวพุทธส่วนหนึ่งเคยไปเรียกร้องให้มีการบัญญัติ “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” ไว้ในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 จึงได้นำป้ายมาปิดประกาศหน้าร้านอาหารของตน
“ห้ามบุคคลซึ่งถือศาสนาพุทธเข้ามาทานอาหารภายในร้าน” ต่อมานายเอกบุคคลสัญชาติไทยและนายหม่องบุคคลสัญชาติพม่าซึ่งต่างก็ถือศาสนาพุทธได้มาทานอาหารที่ร้านของนายบาบู แต่ถูกนายบาบูห้ามเข้ามาในร้านและชี้ให้ดูป้ายที่ตนได้ปิดประกาศไว้ ดังนั้นให้ท่านวินิจฉัยว่า
กรณีดังกล่าวนี้เป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ของนายเอกและนายหม่องหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 28 วรรคสอง บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้
มาตรา 37 บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ในการใช้เสรีภาพตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดๆอันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้ เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนาหรือปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อ แตกต่างจากบุคคลอื่น
วินิจฉัย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 วางหลักในมาตรา 37 ให้บุคคลทุกคนมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา โดยกำหนดให้เป็น “เสรีภาพบริบูรณ์” หมายถึง เสรีภาพอันไม่มีข้อจำกัดหรือไม่อาจมีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งได้เลย แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าการใช้เสรีภาพในการนับถือศาสนาดังกล่าว จะใช้ได้เท่าที่ไม่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองหรือรัฐธรรมนูญ ละไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
เมื่อใดก็ตามที่บุคคลรู้ว่าถูกละเมิดเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ เช่น เสรีภาพในการนับถือศาสนา ก็สามารถยกบทบัญญัติมาตรา 28 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาใช้ สิทธิทางศาลหรือยกเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ทันที
อย่างไรก็ดีการจะยกบทบัญญัติดังกล่าว เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ จะต้องปรากฏว่าเป็นการกระทำระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายมหาชน
กรณีตามอุทาหรณ์ ไม่ถือเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนา ตามมาตรา 37 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เพราะเหตุว่าการที่นายบาบูนำป้ายมาปิดประกาศหน้าร้านอาหารของตน ห้ามบุคคลซึ่งนับถือศาสนาพุทธเข้ามาทานอาหารภายในร้าน เป็นสิทธิของผู้ขายตามกฎหมายเอกชนซึ่งสามารถกระทำได้ ตามหลักเสรีภาพในการทำสัญญาผูกนิติสัมพันธ์ คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งก่อนิติสัมพันธ์โดยฝ่ายนั้นไม่สมัครใจยินยอมไม่ได้ ดังนั้นผู้ขายจึงสามารถเลือกปฏิบัติต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้ เช่น การที่ไม่ขายสินค้าให้คนผิวดำ แต่ขายเฉพาะให้กับคนผิวขาว หรือขายให้กับเพศชาย แต่ปฏิเสธเพศหญิง เช่นนี้เอกชนย่อมมีสิทธิทำได้ ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช้บังคับโดยตรงในความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน
เมื่อไม่เป็นการละเมิดเสรีภาพในการนับถือศาสนาตามรัฐธรรมนูญ นายเอกและนายหม่องจึงไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลหรือยกเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ ตามมาตรา 28 วรรคสอง
สรุป กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 28 วรรคสอง และมาตรา 37 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
ข้อ 4 ในการพิจารณาคดีของศาลอาญา นายแดงจำเลยในคดีได้โต้แย้งต่อศาลว่า มาตรา 15 พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งศาลอาญาจะนำมาตัดสินกับคดีของตน ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 30 เรื่องความเสมอภาคของบุคคลในกฎหมาย ขอให้ศาลอาญาส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาวินิจฉัยแล้วเห็นว่ากรณีมิได้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามที่นายแดงได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตรวจพบว่า กระบวนการตรา พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 211 ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า คำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว
มาตรา 6 รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้
วินิจฉัย
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 211 ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยในกรณีที่คู่ความหรือศาลอ้างว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 6
กรณีตามอุทาหรณ์มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยว่ากระบวนการตรา พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เห็นว่า
การตรากฎหมายเป็นกระบวนการทางนิติบัญญัติ และการควบคุมมิให้การตรากฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2550 กำหนดไว้เป็นพิเศษแล้วในมาตรา 154 โดยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและนายกรัฐมนตรี มีอำนาจส่งเรื่องดังกล่าวไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
นอกจากนี้ตัวบทมาตรา 211 ยังกล่าวถึงเฉพาะบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งหมายถึงถ้อยคำในกฎหมายเท่านั้น คู่ความในคดีจึงขอให้ศาลส่งข้อโต้แย้งว่า การตรากฎหมาย ซึ่งหมายถึงกระบวนการในการตรากฎหมายและรูปแบบของกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่ได้ และแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นเองก็ไม่มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัย
ดังนั้นเมื่อมิใช่เป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 6 ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีอำนาจในประเด็นที่จะพิจารณาวินิจฉัยถึงกระบวนการตรา พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามมาตรา 211
สรุป ตามมาตรา 211 ประกอบมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2500 ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยกรณีดังกล่าว