การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ให้อธิบายถึงรูปแบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน พร้อมทั้งอธิบายถึงวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดี คณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภาของประเทศดังกล่าวมาตามที่เข้าใจ
ธงคำตอบ
รูปแบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันมีลักษณะเป็นรูปแบบการปกครองแบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี เนื่องจากมีการนำเอารูปแบบการปกครองทั้งสองระบบมาผสมผสานกัน
หลักการที่ลอกเลียนมาจากระบบรัฐสภา ได้แก่ หลักการที่ฝ่ายบริหารแยกเป็น 2 องค์กร คือ องค์กรประมุขแห่งรัฐ และองค์กร “คณะรัฐมนตรี” ที่มีบรรดารัฐมนตรีทั้งหลายร่วมกันบริหารรัฐกิจ แล้วแสดงออกในนามของรัฐมนตรี
นอกจากนี้ยังมีหลักการที่ว่า คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบในทางการเมืองต่อฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจถอดถอนคณะรัฐมนตรี โดยการแสดงออกซึ่งความไม่ไว้วางใจในการบริหารรัฐกิจของคณะรัฐมนตรี แต่ไม่มีอำนาจถอดถอนประธานาธิบดี ตรงกันข้ามประธานาธิบดีเองก็มีอำนาจยุบสภา
หลักการที่ลอกเลียนมาจากระบบประธานาธิบดี ได้แก่ ความเป็นอิสระของประธานาธิบดีที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายนิติบัญญัติ ประธานาธิบดีจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา ไม่อาจถูกถอดถอนโดยสภา จึงสามารถบริหารงานอยู่ได้จนครบวาระนั่นเอง
สถาบันการปกครองของฝรั่งเศส
1 สถาบันบริหาร แบ่งออกเป็น
1) ประธานาธิบดี มาจากการเลือกตั้งโยตรงจากประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งแรกจะใช้การนับคะแนนแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด นั่นคือ ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เช่น มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 20 ล้านคน ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะได้เป็นประธานาธิบดีจะต้องได้คะแนนเสียง สิบล้าน + 1 คะแนนขึ้นไป (สิบล้านหนึ่งคน) เป็นต้น โดยในการเลือกตั้งครั้งแรกนี้ ถ้ามีผู้สมัครรับเลือกตั้งได้คะแนนเสียเกินกึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่ต้องมีการเลือกตั้งครั้งที่สอง
แต่ถ้าในการเลือกตั้งครั้งแรก ไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ก็จะทำการเลือกตั้งในครั้งที่สอง โดยจะให้ผู้ที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งลำดับที่ 1 และลำดับที่ 2 ในครั้งแรกเท่านั้นที่จะมีสิทธิลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งที่สองนี้ได้ ซึ่งในการนับคะแนนในครั้งที่สองนี้จะใช้การนับคะแนนแบบเสียงข้างมากธรรมดา นั่นคือ หนึ่งในสองคนนี้ ใครได้คะแนนมากกว่าก็ได้รับเลือกเข้าเป็นประธานาธิบดีเลย
ประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศส มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ทำหน้าที่เป็นทั้งประมุขของประเทศ และในขณะเดียวกันก็เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารด้วย (เหมือนกับประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา)
อำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดี แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทแรก อำนาจของประธานาธิบดีที่มีต่อองค์กรต่างๆ ภายในรัฐ เช่น อำนาจในการแต่งตั้งนายกฯ และคณะรัฐมนตรี อำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือทูต หรืออำนาจในการออกกฎหมายของฝ่ายบริหาร ฯลฯ
ประเภทที่สอง อำนาจของประธานาธิบดีที่มีต่อรัฐสภา เช่น ลงนามในกฎหมายต่างๆ หรือให้รัฐสภานำร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของสภาแล้วกัลป์ไปพิจารณาใหม่ อำนาจในการยุบสภาอำนาจในการที่จะสั่งให้มีการหยั่งเสียงประชามติ และที่สำคัญที่สุดคือ ประธานาธิบดีมีอำนาจพิเศษตามรัฐธรรมนูญที่สามารถใช้อำนาจอธิปไตยได้อย่างเต็มที่เมื่อเกิดภาวะจำเป็นขึ้น โดยมีเงื่อนไขว่าต้องได้ปรึกษากับสภาตุลาการรัฐธรรมนูญแล้ว
2) คณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทั้งหลาย ซึ่งประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งแล้วมอบให้ไปจัดตั้งคณะรัฐบาล ซึ่งต้องไปแถลง
นโยบายขอความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ พึงสังเกตว่านายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส มิได้มีอำนาจเท่าเทียมกับอำนาจของนายกรัฐมนตรีในระบบการปกครองแบบรัฐสภาทั้งนี้เพราะผู้ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของฝรั่งเศสที่แท้จริงได้แก่ประธานาธิบดี ที่ไม่จำต้องรับผิดชอบต่อสภา แต่คณะรัฐมนตรีรวมทั้งนายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบต่อสภาและอาจถูกสภาลงมติไม่ไว้วางใจได้
2 สภานิติบัญญัติ แบ่งออกเป็น 2 สภา ได้แก่
1) สภาผู้แทนราษฎร มีจำนวนสมาชิก 577 คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนด้วยเกณฑ์ของการนับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด ผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งในเขตเลือกตั้งนั้นๆ ซึ่งมีทั้งหมด 577 เขต (ระบบแบ่งเขต เขตละ 1 คน) ในเขตเลือกตั้งที่ไม่มีผู้ได้รับคะแนนตามเกณฑ์ดังกล่าว ก็จะต้องให้ผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดในอันดับที่ 1 และอันดับที่ 2 มาแข่งกันใหม่ในรอบที่สองด้วยเกณฑ์ของการนับคะแนนเสียงข้างมากธรรมดา
2) วุฒิสภา มีจำนวนสมาชิก 321 คน มาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อม มีวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี แต่จำนวนวุฒิสมาชิก 1 ใน 3 จะต้องออกจากตำแหน่งทุก 3 ปี
อำนาจของทั้งสองสภาเท่าเทียมกัน เว้นแต่ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินจะต้องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน และที่สำคัญคือ อำนาจของสภาผู้แทนราษฎรที่จะลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐบาล
3 สถาบันอื่นๆ เช่น
1) สภาตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ (คล้ายกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของไทย)
2) สภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลหรือสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจและสังคม
3) ศาลยุติธรรมสูงสุด ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับการทรยศต่อประเทศ
ข้อ 2 จงอธิบายที่มาของอำนาจ การใช้อำนาจ การควบคุมตรวจสอบอำนาจ ของอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ธงคำตอบ
ก. อำนาจนิติบัญญัติ
ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย 2 สภา ดังนี้
1 สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั้งหมด 480 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน มี 2 ประเภทคือ มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คนและมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน 80 คน วาระการดำรงตำแหน่งมีกำหนดคราวละ 4 ปี นับแต่วันเลือกตั้ง
2 วุฒิสภา มีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 76 คนและมาจากการสรรหาโดยคณะกรรมการการสรรหา รวม 74 คน
อำนาจหน้าที่รัฐสภาไทย มี 3 ประการหลัก ได้แก่
1 อำนาจในการตรา การแก้ไขเพิ่มเติม หรือการยกเลิกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติทั่วไป
2 อำนาจหน้าที่ในการควบคุมฝ่ายบริหาร เช่น การตั้งกระทู้ถาม การขอเปิดอภิปรายทั่วไป
3 อำนาจหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญๆ เช่น แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การประกาศสงคราม การทำสัญญาสำคัญบางประเภทฯลฯ
ข. อำนาจบริหาร
อำนาจบริหารที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ ได้แก่ คณะรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วย
1 นายกรัฐมนตรี จำนวน 1 คน เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี
2 รัฐมนตรี จำนวนไม่เกิน 35 คน ซึ่งมีตำแหน่งหลากหลาย เช่น รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ
นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีนั้น นากยกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีจะเป็น ส.ว. ในขณะที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ไม่ได้
รัฐธรรมนูญฯ กำหนดหลักการเข้าสู่ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีไว้ว่า เมื่อมีการเลือกตั้ง ส.ส. เสร็จแล้ว ให้สภา เรียกประชุมสภาภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง ส.ส. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรก
การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ต้องมี ส.ส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรรับรอง และมติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
อำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหาร มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นปามนโยบายและกฎหมาย ซึ่งกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารก็คือ กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัตินั่นเอง
ค. อำนาจตุลาการ
รัฐธรรมนูญฯ มีการจัดระบบศาล แบ่งเป็น 4 ศาล ได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร ซึ่งที่มาของศาลต่างๆเหล่านี้เป็นไปตามพระราชบัญญัติที่จัดตั้งศาลนั้นๆ ขึ้นมา เช่น ศาลปกครอง ก็เป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 เป็นต้น
อำนาจหน้าที่ขององค์กรตุลาการ
ตุลาการหรือศาลมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติและประชาชน
ส่วนการตรวจสอบการใช้อำนาจขององค์กรทั้งสามนั้น อธิบายได้ดังนี้
การใช้อำนาจขององค์กรทั้งสามจะมีการถ่วงดุลตรวจสอบซึ่งกันและกัน ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจซึ่งก็คือ
การควบคุมตรวจสอบฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น การตั้งกระทู้ถาม การเสนอญัตติ การขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตลอดจนการพิจารณาไม่อนุมัติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่างๆ
การควบคุมตรวจสอบฝ่ายนิติบัญญัติโดยฝ่ายบริหาร ได้แก่ ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการยุบสภาได้ ด้วยการถวายคำแนะนำพระมหากษัตริย์ให้ทรงยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
ส่วนอำนาจตุลาการนั้น รัฐธรรมนูญให้ความเป็นอิสระมากที่สุด อำนาจนิติบัญญัติหรือบริหารจะเข้ามาก้าวก่ายการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ฝ่ายตุลาการก็มีอำนาจตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญในการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติ (ศาลรัฐธรรมนูญ) ตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่งทางปกครองหรือการกระทำใดๆ ของฝ่ายบริหาร (ศาลปกครอง) รวมทั้งการตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร (ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) ด้วย
ข้อ 3 จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้
ก. รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นจากปัญหาและสาเหตุใด มีหลักการสำคัญว่าอย่างไร
ข. จงนำแนวคิดทฤษฎีและหลักการสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาอธิบายรัฐธรรมนูญของไทยฉบับปัจจุบัน
ธงคำตอบ
ก. รัฐธรรมนูญเกิดจากปัญหาการใช้อำนาจทางปกครองของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อำนาจอยู่ที่ผู้นำเพียงผู้เดียว ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการปกครอง และการใช้อำนาจในการปกครองไม่สามารถควบคุมตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้ ทำให้ประชาชนถูกรบกวนสิทธิเสรีภาพจากการใช้อำนาจทางปกครองอย่างไม่เป็นธรรม
ปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดหลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครองเป็น 3 อำนาจ คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
จากหลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครอง ทำให้เกิดระบอบประชาธิปไตยอันเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐธรรมนูญ โดยมีหลักการสำคัญ คือ
1 ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เสมอภาคกัน
2 ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ ทำให้เกิดกระบวนการเลือกตั้ง
3 เมื่อได้อำนาจในการปกครองประเทศแล้ว ต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชน
4 การใช้อำนาจทางปกครองดังกล่าวจะต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้
ข. ทฤษฎีหรือหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย คือ
1 หลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครอง
2 หลักความเสมอภาคและเท่าเทียม
3 หลักการมีส่วนร่วมในการปกครอง
4 หลักการใช้อำนาจทางปกครอง
5 หลักการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง
นักศึกษาสามารถนำทฤษฎีหรือหลักการสำคัญดังกล่าวมาอธิบายรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันเกี่ยวกับอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการได้อย่างเสรี แต่จะต้องอ้างอิงหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ รัฐธรรมนูญฯฉบับปัจจุบัน (รวมทั้งในฉบับอื่นๆ) ได้นำเอาหลักการแบ่งแยกอำนาจมาใช้ โดยแบ่งอำนาจอธิปไตย (อำนาจทางปกครอง) ออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการเพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจทั้งสามอำนาจไม่ให้อำนาจหนึ่งอำนาจใดใช้ได้อย่างอิสระ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ การรักษาเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชนจากการใช้อำนาจทางปกครองของรัฐ
อนึ่ง หลักความเสมอภาคและเท่าเทียมของประชาชนภายในรัฐ มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ ทั้งนี้มีต้นเหตุสืบเนื่องจากหลักการสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ปัญหาข้อเท็จจริงและการเรียกร้องในเรื่องการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องต่างๆ เช่น เพศ อายุ ภาษา เชื้อชาติ ความพิการ ฯลฯ ซึ่งเกิดขึ้นจริงในอดีตจนนำไปสู่การบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร
นอกจากนี้ในเรื่องหลักการใช้อำนาจที่ต้องใช้เพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ก็มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย อาทิเช่น ในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือนิติรัฐ (The Rule of Law) ส่วนการตรวจสอบการใช้อำนาจ เช่น การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การตรวจสอบทรัพย์สิน การกระทำที่เป็นการขัดแห่งผลประโยชน์ การถอดถอนจากตำแหน่ง การดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งในเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัติโดยประชาชน การออกเสียงประชามติ การปกครองส่วนท้องถิ่น เราก็นำหลักการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและหลักการมีส่วนร่วมในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาเป็นพื้นฐานในการบัญญัติรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน
ข้อ 4 นายแดงผู้ประกอบกิจการค้านมกล่อง ได้มอบเงิน 10 ล้านบาท ให้แก่นายดำรัฐมนตรี เพื่อขอให้ดำเนินการช่วยเหลือให้ตนชนะการประมูลในการประกวดราคาเสนอขายนมกล่องให้แก่ทางราชการ เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่นักเรียนในโรงเรียนของรัฐ ต่อมามีผู้กล่าวหาว่านายดำได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อให้นายแดงมอบให้ซึ่งเงิน 10 ล้านบาท ระหว่างการตรวจสอบสำนวนของอัยการสูงสุด เพื่อฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาล นายดำรัฐมนตรีได้ถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็ง ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า อัยการสูงสุดจะฟ้องนายแดงผู้ประกอบกิจการค้านมกล่องเป็นคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในกรณีนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
มาตรา 219 วรรคสี่และวรรคห้า ให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา…
อำนาจหน้าที่ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้และในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มาตรา 275 วรรคแรกและวรรคสอง ในกรณีที่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่น ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีอำนาจพิจารณาพิพากษา
บทบัญญัติวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับกรณีที่บุคคลดังกล่าวหรือบุคคลอื่นเป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน รวมทั้งผู้ให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่บุคคลตามวรรคหนึ่ง เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ แม้นายแดงจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้านมกล่อง มิใช่บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 มาตรา 275 วรรคแรก กล่าวคือ มิใช่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่น แต่การที่นายแดงได้มอบเงิน (ให้สินบน) แก่นายดำรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ดำเนินการช่วยเหลือให้ตนชนะการประมูลในการประกวดราคาเสนอขายนมกล่องให้แก่ทางราชการเพื่อนำไปแจกจ่ายแก่นักเรียนในโรงเรียนของรัฐนั้น ลักษณะของการกระทำเป็นการก่อให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำผิด นายแดงจึงเป็นผู้ใช้หรือผู้ให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่รัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา 275 วรรคแรก ในการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ กรณีเช่นนี้นอกจากอัยการสูงสุดจะมีอำนาจฟ้องนายดำต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 275 วรรคแรกแล้ว อัยการสูงสุดยังมีอำนาจฟ้องนายแดงต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 275 วรรคสองได้ด้วย อนึ่ง แม้นายดำจะถึงแก่ความตายก่อนที่อัยการสูงสุดจะยื่นฟ้อง ก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องนายแดงของอัยการสูงสุดเสียไปแต่อย่างใด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 มาตรา 219 วรรคสี่และวรรคห้า
สรุป อัยการสูงสุดสามารถฟ้องนายแดงเป็นคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้
หมายเหตุ เดิมรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2540 มาตรา 308 วรรคสอง บัญญัติให้นำวรรคแรกมาใช้เฉพาะกับตัวการ ผู้ใช้และผู้สนับสนุนเท่านั้น ทำให้มีปัญหาว่าผู้ให้สินบนจะถูกฟ้องที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯได้หรือไม่ ดังนั้นรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 จึงเพิ่มคำว่า “ผู้ให้ ผู้ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่บุคคลตามวรรคหนึ่ง เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงเวลาการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่” เข้ามา ซึ่งส่วนที่เพิ่มเป็นถ้อยคำในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 เพื่อให้ชัดเจนว่าผู้ให้ ผู้ขอให้หรือรับว่าจะให้สินบนแก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องถูกฟ้องที่ศาลนี้ด้วย