การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ธงคำตอบ
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 (ฉบับปัจจุบัน) กำหนดให้ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การปกครองในระบบรัฐสภา เป็นระบบการปกครองที่องค์กรซึ่งใช้อำนาจในทางการเมืองทั้ง 2 องค์กร คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร มีความสัมพันธ์และพึ่งพาอาศัยกันในการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งมีมาตรการในการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันด้วย
การปกครองในระบบรัฐสภานั้นมีหลักการที่สำคัญคือ ฝ่ายบริหารต้องมีความรับผิดชอบในทางการเมืองต่อฝ่ายนิติบัญญัติ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฝ่ายบริหารมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินก็โดยอาศัยความไว้วางใจของฝ่ายนิติบัญญัติ เมื่อใดที่ฝ่ายนิติบัญญัติแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจ เมื่อนั้นถือได้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติต้องการถอดถอนฝ่ายบริหาร
การรับผิดชอบในทางการเมืองของฝ่ายบริหารนั้นจำกัดเฉพาะคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการอย่างแท้จริงเท่านั้น องค์ประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในทางการเมืองแต่อย่างใด
การแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจของฝ่ายนิติบัญญัตินี้ อาจจะเป็นการกระทำโดยตรงซึ่งได้แก่ การที่สภานิติบัญญัติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อฝ่ายบริหารหรืออาจจะเป็นการกระทำทางอ้อม ซึ่งได้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมายสำคัญที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณาอนุมัติ เช่น ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นต้น นอกจากนี้ฝ่ายนิติบัญญัติยังมีอำนาจตั้งกระทู้ถามต่อฝ่ายบริหารได้อีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามการปกครองในระบบรัฐสภานั้น ถึงแม้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะมีอำนาจถอดถอนฝ่ายบริหารด้วยการแสดงออกซึ่งความไม่ไว้วางใจ ในทำนองเดียวกันฝ่ายบริหารก็มีมาตรการโต้ตอบฝ่ายนิติบัญญัติ ในกรณีที่ฝ่ายบริหารเชื่อมั่นว่าฝ่ายบริหารกระทำการด้วยความถูกต้องตรงกับเจตนารมณ์ของประชาชน กล่าวคือ ฝ่ายบริหารมีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรสำหรับที่มาของ “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2550) ตามที่ได้มีการแก้ไขใหม่นั้น ได้กำหนดให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 500 คน โดย
(1) เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 คน และ
(2) เป็นสมาชิกฯที่มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 125 คน
1 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ 1 คน
การคำนวณเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก 1 คน ให้คำนวณจากราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้งเฉลี่ย (หาร) ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 375 คน
จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี ให้นำจำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน ที่คำนวณได้นั้นมาเฉลี่ยจำนวนราษฎรในจังหวัดนั้น ถ้าจังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน ก็ให้มีสมาชิกฯได้ 1 คน จังหวัดใดมีราษฎรเกินเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน ให้มีสมาชิกฯในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีก 1 คน ทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน
จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้ไม่เกิน 1 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้เกิน 1 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งมีจำนวนเท่าจำนวนสมาชิกฯที่พึงมี โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกฯ 1 คน (มาตรา 94)
2 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น โดยให้เลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งเพียงบัญชีเดียว และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง (มาตรา 95)
บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 95 ให้พรรคการเมืองจัดทำขึ้นพรรคการเมืองละหนึ่งบัญชีไม่เกินบัญชีละ 125 คน และให้ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนวันเปิดสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง (มาตรา 96)
การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้ง ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศแล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมืองเป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้ เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (มาตรา 98)
ข้อ 2 หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญหมายถึงอะไร และมีวิธีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญในประเทศต่างๆกี่วิธี ขอให้อธิบาย และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ
ธงคำตอบ
หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ สำหรับรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรนั้น หมายถึงการยอมรับว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดเหนือกฎหมายธรรมดาอื่นๆที่มีอยู่ภายในรัฐ ดังนั้น กฎหมายธรรมดาอื่นๆนั้น จะมีวิธีการจัดทำหรือมีบทบัญญัติมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ ดังจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2550) มาตรา 6 ซึ่งบัญญัติว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับไม่ได้”
วิธีการในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในประเทศต่างๆนั้นมี 2 วิธี ได้แก่
1 การควบคุมโดยศาลยุติธรรม (เป็นการควบคุมโดยการยกเว้น) กล่าวคือ จะกำหนดให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้มีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดไว้ว่า เมื่อมีคดีฟ้องร้องเกิดขึ้นในศาลยุติธรรม แล้วคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างกฎหมายเพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตน เพื่อใช้บังคับกับคู่ความฝ่ายตรงข้าม แต่คู่ความฝ่ายตรงข้ามยกเป็นประเด็นโต้แย้งว่า กฎหมายดังกล่าวที่ใช้บังคับกับเขานั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในกรณีเช่นนี้ ศาลซึ่งพิจารณาคดีดังกล่าวนั้นมีอำนาจในการพิจารณาว่ากฎหมายดังกล่าวนั้นสอดคล้องหรือขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากศาลเห็นว่ากฎหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลก็จะไม่ใช้กฎหมายนั้นบังคับแก่คู่กรณีหรือคู่ความในคดีนั้น แต่ศาลจะไม่พิจารณาพิพากษาเพิกถอนกฎหมายนั้นแต่อย่างใด โดยศาลอาจใช้กฎหมายนั้นกับคู่ความในคดีอื่นๆได้
2 การควบคุมโดยองค์กรพิเศษอื่นนอกจากศาลยุติธรรม (เป็นการควบคุมโดยการฟ้องคดี) เช่น ประเทศไทยและเยอรมนี จะมีการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะ กล่าวคือ ในกรณีที่มีการฟ้องคดีและผู้เกี่ยวข้องกับกฎหมายที่จะนำมาใช้บังคับนั้น เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องนั้นส่งความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และถ้าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่ากฎหมายหรือบทบัญญัติของกฎหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเพิกถอนกฎหมายหรือบทบัญญัติของกฎหมายนั้นๆได้ และกฎหมายหรือบทบัญญัติของกฎหมายที่ถูกเพิกถอนแล้วนั้น จะนำไปใช้บังคับกับคู่ความในคดีนั้นหรือคู่ความในคดีอื่นๆอีกไม่ได้
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไว้ 2 กรณี คือ
1 ตามมาตรา 6 ซึ่งบัญญัติว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”
2 ตามมาตรา 154 ซึ่งบัญญัติหลักไว้ว่า ร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว หรือที่รัฐสภาลงมติยืนยันตามมาตรา 151 ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกรัฐสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน หรือนายกรัฐมนตรี เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ก็ให้ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้น มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป
บทบัญญัติตามมาตรา 154 นั้น ให้นำมาใช้บังคับกับร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา และร่างข้อบังคับการประชุมสภา ที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา แล้วแต่กรณีให้ความเห็นชอบแล้ว แต่ยังมิได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วยโดยอนุโลม (มาตรา 155)
ข้อ 3 ในฐานะที่ท่านเป็นคนไทยและได้เรียนกฎหมายรัฐธรรมนูญมาแล้ว จงอธิบายที่มาของสมาชิกรัฐสภา ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน(ก่อนมีการแก้ไข) อย่างละเอียดว่ามีที่มาอย่างไร
ธงคำตอบ
ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2550) ฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) ของไทยนั้น ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จะมีจำนวนและที่มาหรือวิธีการเข้าสู่ตำแหน่ง ดังนี้ คือ
1 สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกอบด้วยสมาชิก 480 คน โดยเป็นสมาชิก
– มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน
– มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน 80 คน
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
การคำนวณจำนวนสมาชิกฯ ให้นำจำนวนราษฎรทั้งประเทศในปีก่อนปีที่มีการเลือกตั้งหารด้วย 400 จะได้เกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน จังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ถ้าจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คน
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน
– ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น
– เขตเลือกตั้งแบบสัดส่วน ให้แบ่งพื้นที่ประเทศออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด โดยจัดจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน และให้แต่ละกลุ่มจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ละเขตเลือกตั้งให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 10 คน
2 วุฒิสภา (ส.ว.)
วุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คน ซึ่งมาจาก
– การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 76 คน
– การสรรหา รวม 74 คน
การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา
ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา
การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่ง ประกอบด้วย
(1) ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
(2) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
(3) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
(4) ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(5) ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
(6) ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย 1 คน
(7) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย 1 คน
หมายเหตุ
ปัจจุบันได้มีการแก้ไขจำนวนและที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยกำหนดให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 500 คน (ขอให้ดูรายละเอียดในธงคำตอบข้อที่ 1) และปัจจุบันประเทศไทยเมื่อนับรวมกรุงเทพมหานครด้วยจะมี 77 จังหวัด ดังนั้นในการเลือกตั้งและสรรหาวุฒิสภาครั้งต่อไป จำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง จังหวัดละ 1 คน จึงมี 77 คน ส่วนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาจะมี 73 คน
ข้อ 4 ในวันที่ 31 ตุลาคม 2553 ได้กำหนดเป็นวันเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จังหวัดสุรินทร์ วันที่ 1 ตุลาคม 2553 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นายแดงเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งที่ 3 ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2553 นายแดงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อถึงวันเลือกตั้งในวันที่ 31 ตุลาคม 2553 พระภิกษุแดงมิได้มาใช้สิทธิเลือกตั้งฯ และไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งฯ ได้ต่อเจ้าหน้าที่ฯ ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งฯ สามเดือนต่อมาพระภิกษุแดงได้ลาสิกขาบท และได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอได้ปฏิเสธเนื่องจากนายแดงไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งล่าสุด นายแดงอุทธรณ์ ต่อมานายอำเภอได้มีหนังสือแจ้งปฏิเสธและให้เหตุผลว่า เมื่อประกาศรายชื่อว่านายแดงเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งฯแล้ว นายแดงมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 72 ที่จะต้องไปทำหน้าที่ในการใช้สิทธิเลือกตั้งฯ หากไม่ไปก็จะต้องแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิได้ เมื่อนายแดงไม่ได้แจ้งฯ จึงเสียสิทธิในการรับสมัครรับเลือกตั้งในกรณีนี้ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าการปฏิเสธของนายอำเภอชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และนายแดงสามารถจะใช้สิทธิในทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
มาตรา 28 วรรคสอง บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้
มาตรา 72 วรรคแรกและวรรคสอง บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้ ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ
มาตรา 100(1) บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
(1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
มาตรา 223 วรรคแรก ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยดังนี้ คือ
ประเด็นที่ 1 ตามมาตรา 72 วรรคแรกและวรรคสอง บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ถ้าไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้ ย่อมถูกตัดสิทธิทางการเมือง เช่น จะเสียสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งในทุกลำดับชั้นสำหรับตำแหน่งทางการเมือง เป็นต้น
ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ในการประกาศรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนั้น นายแดงมีรายชื่อเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยู่ด้วย แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงวันเลือกตั้งนายแดงซึ่งได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุมิได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ต่อเจ้าหน้าที่ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ดังนี้จะเห็นได้ว่า เมื่อมาตรา 100(1) ได้บัญญัติห้ามมิให้บุคคลที่เป็นพระภิกษุไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ดังนั้น พระภิกษุแดงจึงมิใช่บุคคลที่มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 72 การที่พระภิกษุแดงไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิดังกล่าวนั้น ย่อมไม่ทำให้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองแต่อย่างใด นายแดงจึงยังคงมีสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านได้ ดังนั้นการที่นายอำเภอปฏิเสธไม่ให้นายแดงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน โดยให้เหตุผลว่า นายแดงไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งล่าสุดนั้น การปฏิเสธของนายอำเภอจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ประเด็นที่ 2 การที่นายแดงได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่ถูกนายอำเภอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิเสธ ถือว่ามีการโต้แย้งการใช้สิทธิทางการเมืองเกิดขึ้น ดังนั้นนายแดงซึ่งถูกละเมิดสิทธิสามารถที่จะใช้สิทธิในทางศาลได้ ตามมาตรา 28 วรรคสอง กล่าวคือนายแดงสามารถฟ้องเป็นคดีต่อศาลได้นั่นเอง
สำหรับศาลใดจะเป็นผู้มีอำนาจในการรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยนั้น เห็นว่าเมื่อคดีพิพาทดังกล่าวนั้น เป็นคดีพิพาทระหว่างนายอำเภอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกับนายแดงซึ่งเป็นเอกชนและเป็นคดีพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย (การปฏิเสธของนายอำเภอ ถือว่าเป็นการออกคำสั่งทางปกครองและถือว่าเป็นการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย) ดังนั้นศาลที่มีอำนาจในการรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยคือ “ศาลปกครอง” ตามมาตรา 223 วรรคแรกนั่นเอง ดังนั้นนายแดงสามารถนำข้อพิพาทดังกล่าวฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งปฏิเสธของนายอำเภอได้
สรุป
1 การปฏิเสธของนายอำเภอไม่ชอบด้วยกฎหมาย
2 นายแดงสามารถที่จะใช้สิทธิในทางศาลในกรณีนี้ได้ โดยการฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง