การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงโครงสร้างของประเทศ  ระบบการปกครอง  และหลักการสำคัญของระบบ  พร้อมทั้งอธิบายถึงที่มาของประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกขั้นตอนมาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

ประเทศสหรัฐอเมริกา  ถือว่าเป็นแม่แบบของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  โดยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างแบบรัฐรวมในลักษณะของการรวมตัวแบบเหนียวแน่น  ที่เรียกว่า  สหพันธรัฐ  หรือเรียกสั้นๆว่า  สหรัฐ  ซึ่งเป็นการรวมตัวกันโดยใช้เกณฑ์แห่งความเสมอภาคระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กที่เป็นสมาชิก  รัฐสมาชิกดังกล่าวยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจบางประการให้กับศูนย์กลางแห่งอำนาจ  ยอมให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจปกครองร่วมกัน  โดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นที่เรียกว่า  รัฐธรรมนูญใหม่  หรือ  รัฐธรรมนูญกลาง

ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  มี  2  ประการ  คือ

1       ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

2       มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร  กล่าวคือ  เป็นอิสระจากกัน  ไม่มีมาตรการล้มล้างซึ่งกันและกัน  ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีอำนาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  และในทางกลับกันฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร  สังเกตว่าในข้อนี้จะแตกต่างจากการปกครองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน

การจัดตั้งสถาบันการปกครองของสหรัฐอเมริกา  มีดังนี้

ก.      สถาบันนิติบัญญัติ  (สภาคองเกรส)

รัฐสภาอเมริกัน  เรียกว่า  สภาคองเกรส (Zcongress)  ประกอบด้วย  2  สภา คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากกการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  แบบเสียงข้างมากรอบเดียว  มีวาระในการดำลงตำแหน่ง  2  ปี  มีจำนวนทั้งสิ้น  435  คน  รวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศูนย์กลางแห่งอำนาจหรือที่เรียกว่า  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิเศษของวอชิงตัน  ดี.ซี.  อีก  3  คน  ฉะนั้นจึงมีจำนวนทั้งหมด  438 คน

คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  คือ  ต้องมีอายุ  25  ปีขึ้นไป  และมีสัญชาติอเมริกันมาแล้วอย่างน้อย  7  ปี

2       สภาสูงหรือวุฒิสภา  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  2  คนต่อ  1  มลรัฐ  รวมทั้งสิ้นจำนวน  100 คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  6  ปี  แต่สมาชิก  1  ใน  3  ของทั้งหมดจะต้องจับถูกสลากออกไปสมัครเข้ารับการเลือกตั้งใหม่ทุกๆ  2  ปี  ในระหว่างที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา คือ  ต้องมีอายุตั้งแต่  30  ปีขึ้นไปและได้สัญชาติอเมริกันมาแล้ว  9  ปีขึ้นไป

สมาชิกของสภาคองเกรสได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองเช่นเดียวกับสมาชิกของสภาทั่วๆไปในรัฐสมัยใหม่  นอกจากนี้ยังได้รับการยกเว้นภาษี  ค่าใช้จ่ายของเลขานุการ  เงื่อนไขในการทำงานของสมาชิกสภาคองเกรสยังดีกว่าสมาชิกของประเทศอื่นๆโดยเฉพาะทางด้านข้อมูลข่าวสาร

อำนาจหน้าที่ของสภาเกรส

1       อำนาจในการตรากฎหมายและการตรากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณ  ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างมีอำนาจในเรื่องนี้อย่างเท่าเทียมกัน  ยกเว้นในเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีอากรจะต้องริเริ่มโดยสภาผู้แทนราษฎร

2       อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  การริเริ่มการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีได้ทั้งจากสภาคองเกรส  หรือจากสภานิติบัญญัติของมลรัฐต่างๆ

3       อำนาจในการเลือกตั้งแทน  เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี  และรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ถ้าปรากฏว่าผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน  กรณีนี้สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดีส่วนวุฒิสภาก็จะใช้สิทธิเลือกรองประธานาธิบดี

4       อำนาจอื่นๆของสภาคองเกรส  เช่น  ดูแลการบริหารของหน่วยงานบริการสาธารณสุขตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา

อำนาจหน้าที่เฉพาะของสภาสูงหรือวุฒิสภาของอเมริกา

1       ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหพันธรัฐ

2       ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศ  โดยต้องได้รับการให้สัตยาบันจากสภาสูงด้วยคะแนนเสียง  2  ใน  3

ข.      สถาบันบริหารของสหรัฐอเมริกา

ฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาล

ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  กล่าวคือ  ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big  Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ  “Ticket”  เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน  มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่  1 

พรรคการเมืองทั้ง  2  พรรคดังกล่าว  จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ  ซึ่งมีทั้งหมด  50  มลรัฐ  เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ  Convention  เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี  เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว  ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่  2 

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งคามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่  ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน  ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  อย่างเช่น  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้  30  คน  และสมาชิกวุฒิสภาอีก  2  คน  ดังนั้นรวมแล้วได้  32  คน  ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ  32  รายชื่อ  เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา  ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด  ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น  และจะต้องเลือกทั้ง  32  คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น  เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  (435 + 3 + 100 )  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า  หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก  50  มลรัฐของแต่ละพรรค  ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง  270  เสียง  คือ  เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด  (กึ่งหนึ่ง  269)  ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่  3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน  538  คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน  ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป  ก็หมายความว่า  ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส  จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

ค.      สถาบันตุลาการ  (ศาลยุติธรรมสูงสุด)

ศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงโดยหน้าที่หลักๆของศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้แก่

1       ควบคุมดูแลมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัด  หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญกลาง

2       พิจารณาพิพากษาในกรณีมีการกล่าวหาทูต  กงสุล  รัฐมนตรี  หรือรัฐสมาชิก

 

ข้อ  2  ก . ในฐานะที่ท่านเป็นนักศึกษากฎหมายท่านทราบหรือไม่ว่า  กฎหมายที่ท่านเรียนอยู่แต่ละวิชานั้นมีขั้นตอนในการบัญญัติอย่างไร ดังนั้นจงอธิบายขั้นตอนการตราพระราชบัญญัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพอสังเขป

        ข .  ในฐานะที่ท่านเป็นคนไทยคนหนึ่ง  ท่านทราบหรือไม่ว่าหน้าที่ของท่านตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีอะไรบ้าง

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  ได้บัญญัติวิธีการและขั้นตอนการเสนอร่างพระราชบัญญัติซึ่งสามารถกระทำได้  4  ทาง  ได้แก่

1       โดยคณะรัฐมนตรี

2       โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  จำนวนไม่น้อยกว่า  20  คน

3       ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ  เสนอได้เฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับหน่วยงานของตน

4       โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า  10,000  คน  เข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาออกกฎหมายตามที่กำหนดไว้ในหมวด  3  สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยและหมวด  5  แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม  2.3. และ 4.  เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี  (มาตรา 142)

ผู้มีอำนาจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ  คือ  รัฐสภาที่เป็นองค์การที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ

ขั้นตอนพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ  มี  2  ขั้นตอน  คือ  ส่งร่างพระราชบัญญัติเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร  เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วถ้าสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ  ก็จะส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป

การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎร

เมื่อร่างพระราชบัญญัติเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรแล้ว  สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติออกเป็น  3  วาระ  คือ

วาระที่  1  เรียกว่า  วาระรับหลักการ  เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นแล้ว  จะลงมติว่า  จะรับหลักการหรือไม่รับหลักการแห่งพระราชบัญญัตินั้น  ถ้าหากสภาผู้แทนราษฎรไม่รับหลักการร่างพระราชบัญญัตินั้นก็ตกไป  แต่หากสภาผู้แทนราษฎรรับหลักการ  ก็จะส่งร่างพระราชบัญญัติเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่  2  ต่อไป  การพิจารณาวาระที่  1  นี้  สภาผู้แทนราษฎรจะตั้งคณะกรรมการไปพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหรือปัญหาใดๆก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะมีมติรับหลักการหรือไม่รับหลักการก็ได้

วาระที่  2  เป็นการพิจารณาในรายละเอียด  ปกติจะพิจารณาโดยกรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรตั้งขึ้น  สภาผู้แทนราษฎรคนใดเห็นว่าข้อความหรือถ้อยคำใดในร่างพระราชบัญญัตินั้นควรแก้ไขเพิ่มเติมก็ให้เสนอขอคำแปรญัตติต่อประธานคณะกรรมาธิการภายในเวลาที่กำหนดไว้  เมื่อคณะกรรมาธิการพิจารณาเรียงลำดับมาตราจะมีการอภิปรายได้เฉพาะที่มีการแก้ไขหรือที่มีการสงวนคำแปรญัตติ  หรือสงวนความเห็นไว้เท่านั้น  ในวาระนี้จะไม่มีการลงมติ  เมื่อพิจารณาแล้วก็จะส่งเข้าสู่วาระที่  3 

ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติใดที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอและในขั้นรับหลักการไม่เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน  แต่คณะกรรมาธิการหรือสภาผู้แทนราษฎรได้แก้ไขเพิ่มเติม  และประธานสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรสั่งระงับการพิจารณาไว้ก่อน  และส่งให้ที่ประชุมร่วมกันของประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานคณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรทุกคณะวินิจฉัยภายใน  15  วันนับแต่ที่มีกรณีดังกล่าว  ถ้าที่ประชุมร่วมกันวินิจฉัยว่าการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นทำให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นมีลักษณะเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน  ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นไปให้นายกรัฐมนตรีรับรอง  ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่ให้คำรับรอง  ให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการแก้ไขเพื่อมิให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน  (มาตรา 144)

วาระที่  3  เรียกว่า  วาระให้ความเห็นชอบ  เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาวาระที่  2  เสร็จแล้ว  สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติในวาระที่  3  ว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้นโดยไม่มีการอภิปรายอีก  หากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ  ร่างพระราชบัญญัตินั้นก็เป็นอันตกไป  แต่หากสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบก็ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป

การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยวุฒิสภา

วุฒิสภาจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรส่งมาให้  3 วาระ

วาระที่  1  การพิจารณาวาระนี้เป็นการพิจารณาและลงมติว่าจะเห็นชอบด้วยกับหลักการแห่งพระราชบัญญัตินั้นหรือไม่

การพิจารณาในวาระนี้  วุฒิสภามีอำนาจตั้งกรรมาธิการไปพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหรือปัญหาใดๆก่อนที่วุฒิสภาจะมีมติเห็นชอบด้วยกับหลักการหรือไม่ก็ได้

ในกรณีที่วุฒิสภามีมติเห็นชอบด้วยกับหลักการแห่งพระราชบัญญัติให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไปเป็นวาระที่สอง

วาระที่  2  วุฒิสภาจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยคณะกรรมาธิการที่สภาตั้งหรือกรรมการเต็มสภา  ซึ่งมีขั้นตอนการพิจารณาและการแปรญัตติเช่นเดียวกับการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

วาระที่  3  การพิจารณาในวาระนี้จะเป็นการพิจารณาเพื่อลงมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร  ในกรณีที่ไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติก็จะเป็นการลงมติยืนยันว่าวุฒิสภาเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว  ถ้าในวาระที่สองมีการแก้ไขเพิ่มเติมก็ให้ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติว่าเห็นชอบด้วยหรือไม่เห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติม  การพิจารณาในวาระนี้จะไม่มีการอภิปราย

ผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของวุฒิสภา

ในกรณีที่วุฒิสภาเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร  ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินี้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว  และดำเนินการเพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป  หากไม่เห็นชอบด้วยก็ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อน  และส่งพระราชบัญญัตินั้นคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร  ทั้งนี้สภาผู้แทนราษฎรจะยกร่างพระราชบัญญัติขึ้นมาใหม่ได้ต่อเมื่อครบ  180  วันนับแต่วันที่วุฒิสภาส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎรแล้ว  แต่ถ้าร่างพระราชบัญญัติที่ยับยั้งไว้เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน  สภาผู้แทนราษฎรสามารถยกร่างพระราชบัญญัติขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทันที  และถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

ในกรณีที่วุฒิสภามีมติแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ความเห็นชอบแล้ว  ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติตามที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นไปยังสภาผู้แทนราษฎร  ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าไม่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญ  และเห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นก็ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา  แต่ถ้าเป็นกรณีอื่นให้แต่ละสภาตั้งบุคคลที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกแห่งสภานั้นๆมีจำนวนเท่ากันตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนดประกอบเป็นคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นแล้วให้คณะกรรมาธิการร่วมกันรายงานและเสนอร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันได้พิจารณาแล้วต่อสภาทั้งสอง

กรณีที่สภาหนึ่งสภาใดไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาเสร็จแล้วก็ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อน  สภาผู้แทนราษฎรจะยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ต่อเมื่อครบระยะเวลา  180  วันนับแต่วันที่สภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบ  ถ้าร่างพระราชบัญญัติที่ยับยั้งไว้เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน  สภาผู้แทนราษฎรอาจยกร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทันที  และถ้าสภาผู้แทนราษฎรมีมติยืนยันร่างเดิม  หรือร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

ร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว  ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายภายใน  20 วัน  นับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้นจากรัฐสภา  เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศในราชกิจจานุเบกษา  แล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้  (มาตรา  150)

ถ้าร่างพระราชบัญญัติใดพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วย  และพระราชทานคืนมายังรัฐสภาหรือเมื่อพ้น  90  วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา  รัฐสภา  จะต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่  หากรัฐสภาลงมติยืนยันร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้วให้นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าถวายอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยคืนมาภายใน  30  วัน  ให้นายกรัฐมนตรีนำพระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว  (มาตรา  151)

ข .  ในฐานะที่ท่านเป็นคนไทยคนหนึ่ง  ท่านทราบหรือไม่ว่าหน้าที่ของท่านตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีอะไรบ้าง

ธงคำตอบ

1       หน้าที่ที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์  และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (มาตรา 70)

2       หน้าที่ป้องกันประเทศ  รักษาผลประโยชน์ของชาติ  และปฏิบัติตามกฎหมาย (มาตรา71)

3       หน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  (มาตรา 72)

4       หน้าที่รับราชการทหาร  เสียภาษี  ช่วยเหลือราชการ  รับการศึกษาอบรม  พิทักษ์ปกป้องและสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติ อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามที่กฎหมายบัญญัติ (มาตรา  73)

 

ข้อ  3  ขอให้ท่านอธิบายถึงกระบวนการและขั้นตอนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามาโดยสังเขป

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ในส่วนของฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  ซึ่งเรียกว่า  “Secretaries”  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐ  และเป็นหัวหน้าของรัฐบาลด้วย

ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  กล่าวคือ  ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big  Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ  “Ticket”  เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน  มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่  1 

พรรคการเมืองทั้ง  2  พรรคดังกล่าว  จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ  ซึ่งมีทั้งหมด  50  มลรัฐ  เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ  Convention  เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี  เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว  ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่  2 

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งคามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่  ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน  ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  อย่างเช่น  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30  คน  และสมาชิกวุฒิสภาอีก  2  คน  ดังนั้นรวมแล้วได้  32  คน  ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ  32  รายชื่อ  เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา  ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด  ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น  และจะต้องเลือกทั้ง  32  คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น  เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  (435 + 3 + 100 )  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า  หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก  50  มลรัฐของแต่ละพรรค  ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง  270  เสียง  คือ  เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด  (กึ่งหนึ่ง  269)  ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่  3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน  538  คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน  ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป  ก็หมายความว่า  ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส  จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

 

ข้อ  4  นายเอกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  ได้ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญาในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น  ต่อมาในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ  อัยการสูงสุดได้ฟ้องนายเอกเป็นจำเลยในคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  ฐานทุจริตต่อหน้าที่หลังจากนั้นศาลอาญาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดพิจารณาคดีในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติดังกล่าว  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550  ศาลอาญาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะดำเนินการพิจารณาคดีในกรณีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  131  วรรคสาม  ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในคดีอาญา  ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชุม  ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมมิได้  เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกหรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา  พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง  หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  แต่การพิจารณาคดีต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา

มาตรา  277  วรรคสาม  บทบัญญัติว่าด้วยความคุ้มกันของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา  131  มิให้นำมาใช้บังคับกับการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ต้องแยกพิจารณาเป็น  2  ประเด็นคือ 

1       ศาลอาญาจะดำเนินการพิจารณาคดีที่นายเอกถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นได้หรือไม่  และ

2       ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะดำเนินคดีที่นายเอกถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ได้หรือไม่

ประเด็นที่  1  ตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.  2550  มาตรา 131  วรรคสาม  ศาลอาญาจะพิจารณาคดีนี้ในระหว่างสมัยประชุมมิได้  เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกหรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร  และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา  พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

ประเด็นที่  2  ตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550  มาตรา  277  วรรคสาม  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  สามารถพิจารณาคดีนี้ในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติได้

ทั้งนี้เพราะบทบัญญัติว่าด้วยความคุ้มกันของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  และสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา  131  นั้น  มิให้นำมาใช้บังคับกับการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

Advertisement