การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2004
กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1. ให้อธิบายถึงหลักการสำคัญของรูปการปกครองในระบบรัฐสภา ระบบประธานาธิบดี และระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี มาตามที่เข้าใจ
แนวคำตอบ
รูปการปกครองในระบบรัฐสภาเป็นรูปการปกครองที่การจัดตั้งองค์กรในการใช้อำนาจรัฐ มีมาตรการในการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ให้องค์กรดังกล่าวสามารถมีปฏิสัมพันธ์และสามารถใช้มาตรการในการล้มล้างซึ่งกันและกัน ดังเช่น การขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติและการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยฝ่ายบริหาร ดังเช่น ระบบการปกครองของประเทศอังกฤษ และระบบการปกครองของไทยตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบับปีพุทธศักราช 2540
– รูปการปกครองในระบบประธานาธิบดีจะมีการกำหนดให้มีการแบ่งแยกอำนาจออกจากกันให้เป็นอิสระมากที่สุด เป็นการแบ่งแยกอำนาจแบบค่อนข้างเด็ดขาด ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต่างก็ไม่มีอำนาจล้มล้างซึ่งกันและกัน ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอำนาจในการขอเปิดอภิปรายฝ่ายบริหารและทางฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังเช่น รูปการปกครองของสหรัฐอเมริกา
– ส่วนรูปการปกครองในระบบกึ่งรัฐสภา กึ่งประธานาธิบดี เป็นรูปการปกครองที่นำเอาหลักการของระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดีมาใช้ร่วมกัน มีการนำเอามาตรการในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารมาใช้ในส่วนของคณะรัฐมนตรี แต่สภาผู้แทนไม่สามารถเปิดอภิปรายตัวประธานาธิบดีเหมือนกับระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกันประธานาธิบดีในระบบกึ่งรัฐสภา กึ่งประธานาธิบดี จะมีอำนาจในการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังเช่น ตัวอย่างของประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น
ข้อ 2. ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน และทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ มีความหมายอย่างไร และมีผลในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างไร ขอให้อธิบาย
แนวคำตอบ
1. ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนตามแนวความคิดของ Rousseau นั้น หมายความว่า ราษฎรแต่ละคนต่างเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย Rousseau กล่าวว่าสมมติว่าในรัฐ ๆ หนึ่งมีประชากรอยู่หนึ่งหมื่นคน ดังนั้นประชากรแต่ละคนต่างเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเท่ากับหนึ่งในหนึ่งหมื่นส่วน และราษฎรแต่ละคนต่างควรได้รับประโยชน์จากความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามส่วนของตนไม่มีใครจะมาพรากไปจากเขาได้
ส่วนผลทางกฎหมาย คือ
1) การเลือกตั้งถือเป็นการใช้สิทธิและการเลือกตั้งต้องเป็นอย่างทั่วถึง (Universal suffrage)
2) ผู้ได้รับเลือกตั้งถือว่าเป็นผู้อยู่ในอาณัฐของผู้เลือกตั้ง
2. ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ หมายความถึงแนวคิดของ Seyés (ซีแอส) ที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนทุกคน แต่เมื่อราษฎรมารวมตัวกันเป็นชาติก็เท่ากับว่าได้ยกอำนาจอธิปไตยตามส่วนของตนให้กับสังคม และสังคมที่ว่านี้ก็คือชาตินั่นเอง ชาตินั้นเป็นนิติบุคคลที่มีความต่อเนื่องของสังคมทุกยุค ทุกสมัย ผลของการที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติคือ
1) การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ เพราะชาติอาจมอบหมายให้ราษฎรกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเลือกผู้แทนให้แก่ชาติ และการเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องเป็นแบบทั่วถึง
2) ผู้ได้รับเลือกตั้งถือว่าเป็นตัวแทนของชาติไม่ใช่เป็นเพียงตัวแทนของประชากรที่เลือกเขาเท่านั้น
ข้อ 3. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาพิพากษาคดีของอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช เกี่ยวกับการจัดรายการโทรทัศน์ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยงหกโมงเช้า” ว่าผิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2550 จนทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งคำตัดสินคดีดังกล่าว นักกฎหมายมีความเห็นแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้และองค์ประกอบอื่นอีกหลายประการ…. สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือตุลาการของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าท่านมีที่มาอย่างไร มีความรู้ความสามารถ ความเหมาะสมเชื่อถือได้หรือไม่
ให้นักศึกษาอธิบายว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีจำนวนเท่าใด และตุลาการดังกล่าวมีที่มาอย่างไร
แนวคำตอบ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีจำนวน 9 ท่าน คือ ประธานศาลรัฐธรรมนูญหนึ่งคน และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอื่นอีกแปดคน มีที่มาดังนี้
1. ผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาโดยวิธีลงคะแนนลับจำนวน 3 คน
2. ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดโดยวิธีลงคะแนนลับจำนวน 2 คน
3. ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านนิติศาสตร์อย่างแท้จริงและได้รับเลือกจากคณะกรรมการสรรหาจำนวน 2 คน
4. ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์อื่น ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการบริหารราชการแผ่นดินอย่างแท้จริงและได้รับเลือกจากคณะกรรมการสรรหาจำนวน 2 คน
ข้อ 4. ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอ่างทอง หลังจากมีการประกาศผลการเลือกตั้งโดยนายแดงสมาชิกพรรคธรรมไทย และนายสมใจซึ่งเป็นสมาชิกพรรคทุนเสรี ต่างเป็นบุคคลผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอ่างทองด้วยกันทั้งสองคน นายสมใจซึ่งได้ซื้อเสียงในการเลือกตั้งได้กลั่นแกล้งนายแดงโดยได้ไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการเลือกตั้งว่า นายแดงได้ทุจริตซื้อเสียงในการเลือกตั้ง ทั้งนี้โดยนายสมใจได้นำพยานเท็จคือ นายทองและนายเงินมายืนยันในการได้รับเงินจากนายสมใจด้วย ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการเลือกตั้ง ต่อมาได้มีการประชุมรัฐสภาโดยมีการถ่ายทอดวิทยุและโทรทัศน์ นายสมใจติดภารกิจราชการต้องเดินทางไปต่างประเทศจึงไม่ได้เข้าร่วมประชุม นายแดงได้อภิปรายและกล่าวในที่ประชุมโดยกล่าวหาว่าที่นายสมใจได้รับการเลือกตั้งนั้นเพราะนายสมใจได้ทุจริตซื้อเสียงแต่กลั่นแกล้งตนโดยไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการเลือกตั้งว่าตนซื้อเสียงในการเลือกตั้ง เมื่อนายสมใจกลับจากต่างประเทศได้ทราบเรื่องเห็นว่ากรณีดังกล่าวนี้ทำให้ตนเสียหายต่อชื่อเสียง จึงประสงค์ที่จะฟ้องนายแดงเป็นคดีอาญาต่อศาล ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายสมใจสามารถใช้สิทธิในทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวคำตอบ หลักกฎหมาย
มาตรา 130 ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำในทางแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใดมิได้
เอกสิทธิ์ตามวรรคหนึ่งไม่คุ้มครองสมาชิกผู้กล่าวถ้อยคำในการประชุมที่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ หากถ้อยคำที่กล่าวในที่ประชุมไปปรากฏนอกบริเวณรัฐสภา และการกล่าวถ้อยคำนั้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญา หรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้น
วินิจฉัย
บทบัญญัติมาตรา 130 นี้ ถือเป็นเอกสิทธิ์เด็ดขาดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกรัฐสภา ที่ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใดๆ มิได้ ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา
แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นเอกสิทธิ์เด็ดขาดที่จะไม่คุ้มครองสมาชิกสภาฯ ในมาตรา 130 วรรคสอง โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ
1 เป็นการกล่าวถ้อยคำในการประชุมที่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์หากถ้อยคำที่กล่าวในที่ประชุมไปปรากฏนอกบริเวณรัฐสภา
2 ถ้อยคำนั้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่ง
3 ต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้น
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ นายสมใจสามารถใช้สิทธิในทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นายแดงได้อภิปรายและกล่าวในที่ประชุมโดยกล่าวหาว่านายสมใจได้รับเลือกตั้งเพราะทุจริตซื้อเสียงนั้น เป็นถ้อยคำที่มีลักษณะเป็นความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาททำให้เสียหายต่อชื่อเสียง ซึ่งได้กล่าวในที่ประชุมรัฐสภาที่มีการถ่ายทอดทางวิทยุและโทรทัศน์ แต่เมื่อนายสมใจเป็นสมาชิกแห่งรัฐสภานั้น มิใช่บุคคลภายนอกอื่นๆ แม้จะไม่อยู่ในที่ประชุมในขณะที่นายแดงกล่าวถ้อยคำนั้นก็ตาม กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 130 วรรคสอง ดังนั้นนายสมใจจึงไม่สามารถฟ้องนายแดงเป็นคดีอาญาในความผิดฐานหมิ่นประมาททำให้ตนเสียหายต่อชื่อเสียงในกรณีได้ ตามมาตรา 130 วรรคแรกและวรรคสอง
สรุป นายสมใจไม่สามารถฟ้องนายแดงเป็นคดีอาญาในความผิดฐานหมิ่นประมาททำให้ตนเสียหายต่อชื่อเสียงในกรณีนี้ได้