การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1 ให้อธิบายถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยตามแนวคิดของมองเตสกิเออ นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส พร้อมทั้งอธิบายถึงหลักการของระบบการปกครองทั้ง 3 ระบบ ที่เกิดจากแนวคิดดังกล่าวมาตามที่เข้าใจ พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ
ธงคำตอบ
มองเตสกิเออ (Montesquieu) เป็นนักปรัชญาทางกฎหมายชาวฝรั่งเศสที่ได้ให้ความเห็นในเรื่องของอำนาจอธิปไตยไว้ในตำราที่มีชื่อว่า “เจตนารมณ์ทางกฎหมาย” หรือ De l’Esprit Lois ซึ่งตำราเล่มนี้กล่าวว่า อำนาจอธิปไตยที่รัฐได้รับจากประชาชนเพื่อทำการปกครองประเทศนั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 อำนาจคือ
1 อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับแบประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งในที่นี่หมายถึงรัฐสภา
2 อำนาจบริหาร เป็นอำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งได้แก่ ผู้บริหารหรือคณะรัฐบาล
3 อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินใจและการพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจตุลาการ ได้แก่ ศาล
มองเตสกิเออ มีความเห็นว่า อำนาจทั้ง 3 อำนาจนี้ควรจะต้องแบ่งแยกออกจากกันเป็นอิสระ เพราะถึงแม้ว่าผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐจะได้มาจากประชาชนโดยการเลือกตั้งก็ตาม แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าคณะผู้ทำการปกครองประเทศจะไม่หลงในอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีการแยกอำนาจดังกล่าวออกจากกัน ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้ปกครองประเทศ ซึ่งเป็นคณะบุคคลฝ่ายเดียวใช้อำนาจต่างๆ โดยไม่มีขอบเขต
กล่าวคือ ถ้าให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมายได้เสียเองด้วย กฎหมายที่ออกมาก็อาจจะมีความไม่เป็นธรรม แต่จะมีลักษณะที่จะทำให้การบริหารเป็นไปได้โดยสะดวก
และถ้าหากฝ่ายบริหารยังมีอำนาจในการพิพากษาคดีอีกด้วย ก็จะทำให้อำนาจอธิปไตยของรัฐตกอยู่กับคณะบุคคลเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งการปกครองประเทศก็จะกลายเป็นการปกครองที่ผิดรูปไปจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นการรวมอำนาจต่างๆมาขึ้นอยู่กับคณะบุคคลกลุ่มเดียวเท่านั้น
มองเตสกิเออ มีความเห็นว่า “อำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจได้” และมองเตสกิเออได้ถือหลักการนี้มาเป็นข้อแนะนำให้มีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็นอิสระจากกัน
จากแนวคิดของมองเตสกิเออนี้ทำให้เกิดระบบการปกครองขึ้น 3 ระบบ คือ
1 ระบบรัฐสภา
2 ระบบประธานาธิบดี
3 ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี
ระบบรัฐสภา
ในระบบรัฐสภาก็ได้มีการคำนึงถึงการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันนี้ จึงได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายนิติบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรมีมาตรการที่จะล้มล้างฝ่ายบริหารได้ ล้มล้างในที่นี้คือ ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเปิดอภิปรายฝ่ายบริหารได้อย่างเดียวเท่านั้น รัฐธรรมนูญยังให้อำนาจฝ่ายบริหารในการที่จะโต้ตอบฝ่ายนิติบัญญัติโดยการยุบสภาตรงนี้ก็คือแนวความคิดในเรื่องอำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจเดียวกันได้หรือการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน
ระบบประธานาธิบดี
ระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา การจัดตั้งองค์กรทั้ง 3 องค์กรนั้นมีการจัดตั้งที่เป็นอิสระจากกันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ส่งผลให้เขาบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า เมื่อฝ่ายบริหารได้รับเลือกตั้งแล้วประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อมจะต้องรอดพ้นจากการถูกขับไล่โดยการลงมติไม่ไว้วางใจจากฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภา กล่าวคือ สภาผู้แทนราษฎรในสหรัฐอเมริกาไม่มีสิทธิเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดี และในขณะเดียวกันฝ่ายบริหารหรือประธานาธิบดีก็จะประกาศยุบสภาไม่ได้เช่นกัน จึงถือว่าการถ่วงดุลอำนาจในระบบประธานาธิบดีนี้มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาด
ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี
ในระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี ประเทศฝรั่งเศสได้นำการปกครองทั้งสองระบบข้างต้นมาใช้ในการปกครองรูปแบบของตน โดยได้นำเอาส่วนดีทั้งสองระบบมาผสมผสานกันจึงเกิดระบบการปกครองนี้ขึ้นมาโดยรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสได้บัญญัติจำแนกฝ่ายบริหารออกเป็นสองส่วนคือ
ส่วนแรก คือ ประธานาธิบดี ซึ่งประธานาธิบดีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา นั่นคือ ไม่ต้องกลัวว่าสภาจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เหมือนกันกับระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
ส่วนที่สอง คือ คณะรัฐบาล ได้บัญญัติให้คณะรัฐบาลต้องรับผิดต่อสภาเหมือนกันกับการปกครองในระบบรัฐสภา
เพราะฉะนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศสอาจยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี แต่เปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดีไม่ได้ ตรงนี้ก็คือการเอาการถ่วงดุลอำนาจของทั้งสองระบบมารวมเข้าด้วยกัน
ข้อ 2 ท่านมีความเข้าใจเกี่ยวกับ “หลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐ” (La Separtion des pouvoirs) ของมองเตสกิเอออย่างไร และการที่ปัจจุบันมีการกระทำรัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศไทยโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) และจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนขึ้นมาบริหารแทนรัฐบาลชุดเดิมที่มาจากการเลือกตั้งนั้น เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร ขอให้อธิบาย
ธงคำตอบ
“หลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐ” ของมองเตสกิเออนั้นตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่ามนุษย์ทุกคนที่มีอำนาจมักลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจ และมักจะใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ดังนั้นหากปล่อยให้ผู้ปกครองใช้อำนาจอย่างอำเภอใจแล้ว สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครองก็จะไม่มีหลักประกัน จึงจำต้องแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐออกใช้โดยหลายองค์กร ขึ้นอยู่กับว่าหน้าที่หลักของรัฐมีกี่องค์กรก็แยกใช้เท่านั้น และมองเตสกิเออก็สรุปว่า หน้าที่ของรัฐไม่ว่าจะปกครองในรูปแบบใดก็ตาม มีหน้าที่หลักอยู่เพียง 3 ประการ กล่าวคือ หน้าที่ในทางนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ดังนั้นจึงควรแยกใช้โดย 3 องค์กร และให้แต่ละฝ่ายไม่มาก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน อีกทั้งต้องคอยตรวจและถ่วงดุล (Check and Balance) ซึ่งกันและกันด้วย จึงจะเป็นกลไกหรือมาตรการในการป้องกันมิให้องค์กรที่ใช้อำนาจแต่ละฝ่ายใช้อำนาจอย่างสุดขั้วหรือสุดโต่ง โดยหวั่นเกรงว่าจะถูกตรวจสอบหรือถ่วงดุลโดยฝ่ายอื่น ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครองมิให้ถูกใช้อำนาจบังคับเอาอย่างเผด็จการ แต่เมื่อมีการรัฐประหารโดย คปค. จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการดังกล่าวอย่างชัดเจน แม้จะมีการแต่งตั้งรัฐบาลพลเรือนมาบริหารต่อมาก็ตาม แต่รัฐบาลดังกล่าวก็มิได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแต่ประการใด
ข้อ 3 ก ท่านเข้าใจรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยว่าอย่างไร จงอธิบายโดยละเอียด
ข รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดใช้เป็นแนวทางในการปกครองประเทศ แต่รัฐธรรมนูญไทยฉบับปี พ.ศ. 2540 ได้ถูกยกเลิกโดยประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้วนั้น อยากทราบว่าระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาบังคับใช้ จะใช้กฎหมายใดเป็นกฎหมายสูงสุด
ธงคำตอบ
ก รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยเกิดจากปัญหาทางปกครองที่อำนาจทางปกครองอยู่ที่คนๆเดียว ประชาชนไม่มีส่วนร่วมการใช้อำนาจทางปกครอง ไม่สามารถควบคุมตรวจสอบได้
– จากปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดหลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นสามอำนาจคือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ
– จากหลักการแบ่งแยกอำนาจได้พัฒนาเป็นระบอบประชาธิปไตยมีหลักการสำคัญว่า
(1) ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เสมอภาคกัน
(2) ผู้ที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจทางปกครองจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญจึงเกิดกระบวนการเลือกตั้ง
(3) การใช้อำนาจทางปกครองจะต้องใช้เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชน
(4) การใช้อำนาจทางปกครองจะต้องตรวจสอบได้
– จากหลักการของระบอบประชาธิปไตยทำให้เกิดกฎหมายสูงสุดที่ใช้เป็นแนวทางในการปกครองประเทศเรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” บัญญัติที่มาของอำนาจ การใช้อำนาจ และการควบคุมตรวจสอบอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชนจากการใช้อำนาจทางปกครอง
ข ใช้ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นกฎหมายสูงสุดเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ
ข้อ 4 พ.ร.บ. ชื่อสกุล พ.ศ. 2505 มาตรา 12 บัญญัติว่า “หญิงมีสามีให้ใช้ชื่อสกุลของสามี” ภายใต้บทบัญญัติมาตราดังกล่าวนี้ขัดต่อหลักความเสมอภาคของบุคคลหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
ภายใต้หลักความเสมอภาคของบุคคล บุคคลย่อมมีความเสมอภาคกันในกฎหมาย ซึ่งถือเป็นหลักความเสมอภาค โดยเฉพาะสิทธิเท่าเทียมกันระหว่างหญิงกับชาย
ซึ่งหลักความเสมอภาค มีพื้นฐานมาจากความเสมอภาคเท่าเทียมกันตามธรรมชาติ สิทธิตามธรรมชาติดังกล่าวนี้เป็นสิทธิที่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน ซึ่งเป็นสิทธิที่มีมาตั้งแต่กำเนิด
ดังนั้น บทบัญญัติมาตรา 12 พ.ร.บ. ชื่อสกุล พ.ศ. 2505 มีลักษณะบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้ชื่อสกุลของสามีเท่านั้น ถือเป็นการลิดรอนสิทธิในการใช้สกุลของหญิงมีสามี ทำให้ชายและหญิงมีสิทธิไม่เท่าเทียมกัน เกิดความไม่เสมอภาคกันทางกฎหมาย เพราะความแตกต่างในเรื่องเพศและสถานะของบุคคล