การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2003
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 แพรวาโกรธปัญญา จึงได้นำรูปภาพของปัญญามาตัดต่อด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยตั้งใจว่าจะนำไปเผยแพร่ว่าปัญญามีเพศสัมพันธ์กับบัวงาม หลังจากจัดภาพเสร็จแล้ว แพรวาได้เดินไปเข้าห้องน้ำน้ำหวานได้แอบเข้ามาในห้องของแพรวา และได้เห็นภาพดังกล่าว
จึงได้ส่งภาพนั้นไปให้นุชดูทาง E-mail แล้วก็ออกจากห้องไป เมื่อแพรวาออกมาจากห้องน้ำ เกิดเปลี่ยนใจไม่ส่งภาพนั้น จึงทำการลบภาพนั้นออกไปจากเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วก็เข้านอน
หากนุชซึ่งได้รับภาพดังกล่าวจากการส่งทาง E-mail ของน้ำหวาน นุชจึงส่งภาพต่อไปยังปลายรุ้ง ปลายรุ้งซึ่งเป็นเพื่อนของบัวงามจึงส่งภาพเช่นว่านั้นไปให้บัวงาม ทำให้ปัญญากับบัวงามโกรธมาก ดังนี้
ให้ท่านวินิจฉัยว่า บัวงามและปัญญาจะฟ้องร้องให้ใครรับผิดได้หรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 423 ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้
ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่
วินิจฉัย
บัวงามและปัญญาได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง จากการเผยแพร่ภาพทาง E-mail ซึ่งภาพนั้นแพรวาได้จัดทำขึ้นแต่ไม่สามารถฟ้องแพรวาให้รับผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่งได้ เพราะขาดหลักเกณฑ์ตามมาตรา 423 ที่ว่าต้องเป็นการกระทำของแพรวาเองที่ทำให้แพร่หลายหรือล่วงรู้ถึงบุคคลที่สาม และถึงแม้ว่าภาพดังกล่าวจะล่วงรู้ไปยังน้ำหวาน แต่น้ำหวานก็ไม่ถือว่าเป็นบุคคลที่สาม เพราะเป็นผู้แอบรู้เห็นโดยละเมิด
อย่างไรก็ดี บัวงามและปัญญาสามารถเรียกร้องให้น้ำหวานรับผิดได้ตามมาตรา 423 ถึงแม้ว่าน้ำหวานจะไม่ได้เป็นผู้ตัดต่อภาพนั้นเอง แต่น้ำหวานก็เป็นผู้เผยแพร่ภาพนั้นไปยังบุคคลที่สามคือ นุช และเมื่อภาพนั้นเป็นเรื่องไม่จริง และทำให้บัวงามและปัญญาเสียหาย น้ำหวานจึงต้องรับผิด
เมื่อนุชได้รับภาพดังกล่าวจากการส่ง E-mail ของน้ำหวาน จึงส่งภาพต่อไปยังปลายรุ้ง ดังนั้น นุชจึงต้องรับผิดตามมาตรา 423 ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกับน้ำหวาน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าปลายรุ้งจะส่งภาพดังกล่าวไปให้บัวงาม ปลายรุ้งก็ไม่ต้องรับผิด เพราะไม่ถือว่าเป็นการเผยแพร่ไปยังบุคคลที่สาม เนื่องจากว่าบัวงามไม่ใช่บุคคลที่สาม แต่เป็นคู่กรณีในความรับผิดฐานละเมิดด้วยการหมิ่นประมาทตามมาตรา 423 (ข้อเท็จจริงนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องการอ้างการมีส่วนได้เสียในข่าวสารตามมาตรา 423 วรรคสอง เพราะไม่ใช่ข้อแก้ตัวให้พ้นผิด แต่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องรับผิดอยู่แล้ว เพราะขาดองค์ประกอบของคำว่าแพร่หลาย)
สรุป บัวงามและปัญญาสามารถเรียกให้น้ำหวานและนุชรับผิดฐานหมิ่นประมาท ตามมาตรา 423 ได้
ข้อ 2 หนุ่ยนายจ้างของอ้วน สั่งให้อ้วนสร้างศาลากลางน้ำบนที่ดินของก้อย โดยที่หนุ่ยรับจ้างสร้างจากสมชายทั้งที่รู้อยู่ว่าที่ดินแปลงนี้ไม่ได้เป็นของสมชาย แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เพราะอยากได้ค่าจ้างส่วนสมชายก็คิดว่าหนุ่ยไม่รู้ว่าที่ดินไม่ใช่ของตน แต่อ้วนไม่รู้ว่าเป็นที่ดินของใคร เพียงทำตามคำสั่งของนายจ้างเท่านั้น
วันเกิดเหตุ ระหว่างที่อ้วนกำลังปลูกศาลาอยู่นั้น อ้วนได้ทำไม้แผ่นพลัดหลุดจากมือหล่นไปที่ต้นมะพร้าวของจ้อย ทำให้ลูกมะพร้าวหล่นลงมาใส่รถยนต์ของจ้อยที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ พังเสียหายและบุตรบุญธรรมอายุ 2 ขวบของจ้อย ซึ่งนั่งอยู่ในรถคันนั้นถึงแก่ความตาย
ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ก้อยและจ้อยจะเรียกให้ใครรับผิดได้บ้าง
ธงคำตอบ
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 425 นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น
มาตรา 428 ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้างเว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง
มาตรา 432 ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำนวนพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย
อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น
วินิจฉัย
ประเด็นแรก อ้วนสร้างศาลากลางน้ำบนที่ดินของก้อย อ้วนจะต้องรับผิดต่อก้อยหรือไม่
ข้อเท็จจริงมีว่า อ้วนทำตามคำสั่งของนายจ้างโดยไม่รู้ว่าที่ดินเป็นของใคร ประเด็นสำคัญคือไม่ปรากฏว่าอ้วนจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้ก้อยได้รับความเสียหาย จึงขาดหลักเกณฑ์ในมาตรา 420 ที่ว่า ผู้กระทำละเมิดให้เกิดความเสียหายนั้นต้องได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อด้วย อ้วนจึงไม่ต้องรับผิดต่อก้อยแต่อย่างใด
ประเด็นที่สอง การที่อ้วนสร้างศาลากลางน้ำบนที่ดินของก้อยนั้น เป็นการทำงานตามที่นายจ้างมอบหมาย หนุ่ยนายจ้างของอ้วนจะต้องรับผิดต่อก้อยหรือไม่
ข้อเท็จจริงมีว่า หนุ่ยรู้ความจริงว่าที่ดินแปลงนี้ไม่ได้เป็นของสมชาย แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ เพราะอยากได้ค่าจ้าง ดังนั้นจึงถือได้ว่าหนุ่ยได้เป็นผู้กระทำละเมิดต่อก้อยตามมาตรา 420 โดยใช้อ้วนเป็นเครื่องมือในการทำละเมิด (ไม่ใช่กรณีตามมาตรา 425 เพราะเมื่ออ้วนไม่ได้กระทำละเมิดต่อก้อยแล้ว นายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดกับลูกจ้างแต่อย่างใด)
ประเด็นที่สาม สมชายว่าจ้างให้หนุ่ยสร้างศาลากลางน้ำบนที่ดินของก้อย สมชายต้องรับผิดต่อก้อยหรือไม่ และต้องร่วมรับผิดกับหนุ่ยหรือไม่อย่างไร
ข้อเท็จจริงมีว่า สมชายว่าจ้างหนุ่ยให้สร้างศาลาจึงเป็นสัญญาจ้างทำของ สมชายเป็นผู้ว่าจ้างและหนุ่ยเป็นผู้รับจ้าง ซึ่งโดยหลักแล้วมาตรา 428 กำหนดว่า ผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดในความเสียหายอันผู้รับจ้างก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง อย่างไรก็ดี กฎหมายกำหนดข้อยกเว้นไว้ว่าผู้รับจ้างต้องรับผิดหากว่าเป็นผู้ผิดในส่วนของการงานที่สั่งให้ทำ ดังนั้น เมื่อการงานที่สั่งให้หนุ่ยทำเป็นการทำผิดเพราะจ้างให้สร้างศาลาบนที่ดินของผู้อื่น สมชายผู้ว่าจ้างจึงต้องรับผิดต่อก้อยตามมาตรา 428
อย่างไรก็ดี ความรับผิดของสมชายกับหนุ่ยไม่ใช่เป็นเรื่องความรับผิดร่วมกัน เพราะมาตรา 428 ไม่ได้กำหนดให้รับผิดร่วมกัน และไม่ใช่เป็นเรื่องการทำละเมิดร่วมกันตามมาตรา 432 เนื่องจากไม่ได้ร่วมใจร่วมกายกันทำละเมิด เพราะสมชายเองก็คิดว่าหนุ่ยไม่รู้ว่าที่ดินไม่ใช่ของตน (แต่ให้รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมได้ เพราะเป็นหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกชำระกันได้ตามมาตรา 301 * ในวงเล็บถ้าไม่ตอบก็ไม่หักคะแนน)
ประเด็นที่สี่ อ้วนต้องรับผิดต่อจ้อยหรือไม่
ข้อเท็จจริงมีว่า อ้วนทำไม้แผ่นพลัดหลุดจากมือหล่นไปที่ต้นมะพร้าวของจ้อย และทำให้รถของจ้อยเสียหาย และบุตรบุญธรรมอายุ 2 ขวบของจ้อยถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของจ้อย และต่อชีวิตของบุตรบุญธรรมของจ้อย อ้วนจึงต้องรับผิดต่อจ้อยตามมาตรา 420
ประเด็นที่ห้า หนุ่ยนายจ้างของอ้วนจะต้องร่วมรับผิดกับอ้วนต่อก้อยในฐานะนายจ้างหรือไม่
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่า อ้วนลูกจ้างเป็นผู้กระทำละเมิด และได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง หนุ่ยจึงต้องร่วมรับผิดกับอ้วนด้วยตามมาตรา 425
ประเด็นที่หก สมชายต้องร่วมรับผิดกับอ้วนด้วยหรือไม่
ข้อเท็จจริงมีว่า สมชายเป็นผู้ว่าจ้างทำของ หนุ่ยเป็นผู้รับจ้างทำของ เมื่ออ้วนเป็นลูกจ้างของหนุ่ยเท่านั้น อ้วนจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อสมชายแต่อย่างใด แม้อ้วนจะทำละเมิดอันเนื่องมาจากการทำงานเพื่อประโยชน์ของสมชายก็ตาม
สรุป ก้อยสามารถฟ้องหนุ่ยให้รับผิดได้ตามมาตรา 420 และฟ้องสมชายให้รับผิดได้ตามมาตรา 428 แต่ไม่สามารถฟ้องอ้วนได้ ส่วนจ้อยสามารถฟ้องอ้วนให้รับผิดได้ตามมาตรา 420 และฟ้องหนุ่ยให้ร่วมรับผิดกับลูกจ้างตามมาตรา 425 แต่จะฟ้องสมชายให้ร่วมรับผิดไม่ได้
ข้อ 3 จากข้อเท็จจริงในข้อ 2 กรณีที่บุตรบุญธรรมของจ้อยถึงแก่ความตาย จ้อยจะเรียกค่าขาดไร้อุปการะและค่าปลงศพได้หรือไม่ อย่างไร และในระหว่างจัดงานศพต้องขาดรายได้และเสียค่าจ้างคนเฝ้าบ้านของจ้อย จ้อยจะเรียกค่าขาดรายได้และค่าจ้างนั้นได้หรือไม่ อย่างไร
กรณีรถยนต์เสียหายจนใช้การไม่ได้ จ้อยจะเรียกค่าเสียหายต่อทรัพย์ได้หรือไม่ หากว่ารถคันที่เสียหายไปนั้นเป็นรถที่จอดทิ้งไว้เฉยๆ นานแล้ว เพราะมีรถใช้หลายคัน และจ้อยมีรถคันอื่นใช้อยู่แล้ว
ธงคำตอบ
มาตรา 438 ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
อนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนนั้นได้แก่ การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆอันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย
มาตรา 443 ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย
ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย
ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่า บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
วินิจฉัย
จ้อยจะเรียกค่าปลงศพไม่ได้ เพราะตามกฎหมายแล้ว ผู้มีสิทธิเรียกร้องค่าปลงศพได้แก่ทายาทของผู้ตายตามกฎหมายมรดกเท่านั้น เมื่อผู้รับบุตรบุญธรรมไม่ถือว่าเป็นทายาทของบุตรบุญธรรม (มาตรา1598/29) จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปลงศพตามมาตรา 443 วรรคแรก แต่จ้อยมีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ ตามมาตรา 443 วรรคท้ายประกอบมาตรา 1598/28 วรรคสอง (ฎ. 713/2517) ส่วนค่าขาดรายได้และค่าจ้างคนเฝ้าบ้านของโจทก์ในระหว่างจัดงานศพเรียกไม่ได้ เพราะไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพ ตามมาตรา 443 วรรคแรก (ฎ. 1437/2526)
กรณีรถยนต์เสียหายจนใช้การไม่ได้ จ้อยจะเรียกค่าเสียหายในความเสียหายต่อทรัพย์ได้ แม้ว่ารถคันที่เสียหายไปนั้นเป็นรถที่จอดทิ้งไว้เฉยๆนานแล้ว เพราะมีรถใช้หลายคัน และมีรถใช้หลายคัน และจ้อยมีรถคันอื่นใช้อยู่แล้วก็ไม่ตัดสิทธิในการเรียกค่าเสียหาย (ฎ. 945/2533)
สรุป จ้อยสามารถฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะและค่าเสียหายต่อรถยนต์ได้ แต่จะเรียกค่าปลงศพ ค่าขาดรายได้ และค่าจ้างคนเฝ้าบ้านไม่ได้
ข้อ 4 แดงขับรถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งดำขโมยมาจากฟ้า และรถกระเด็นไปชนกำแพงบ้านของขาวทำให้รถจักรยานยนต์เสียหาย แดงจึงได้เสนอจ่ายค่าซ่อมรถให้แก่ดำ เป็นเงิน 1,000 บาท และเสนอจ่ายค่าซ่อมกำแพงให้แก่แจ๋วซึ่งเดินออกมาจากบ้านของขาว เพราะแดงเข้าใจโดยสุจริตว่ารถนั้นเป็นของฟ้าและกำแพงบ้านเป็นของแจ๋ว ดังนี้หากฟ้าและขาวจะเรียกให้แดงรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายอีกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 441 ถ้าบุคคลจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ เพราะเอาสังหาริมทรัพย์ของเขาไปก็ดี หรือเพราะทำของเขาให้บุบสลายก็ดี เมื่อใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์นั้นอยู่ในขณะที่เอาไป หรือขณะที่ทำให้บุบสลายนั้นแล้ว ท่านว่าเป็นอันหลุดพ้นไปเพราะการที่ได้ใช้ให้เช่นนั้นแม้กระทั่งบุคคลภายนอกจะเป็นเจ้าของทรัพย์หรือมีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้น เว้นแต่สิทธิของบุคคลภายนอกเช่นนั้นจะเป็นที่รู้อยู่แก่ตน หรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน
วินิจฉัย
ข้อเท็จจริงตามปัญหา เป็นเรื่องการใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้อื่นซึ่งไม่ใช่ผู้เสียหายที่แท้จริง ซึ่งมาตรา 441 กำหนดให้หนี้ระงับได้แม้ว่าจะเป็นการใช้ให้ผิดตัว แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังนี้คือ
– ทำให้สังหาริมทรัพย์เสียหาย
– สิทธิของบุคคลภายนอกไม่เป็นที่รู้อยู่แก่ตน (ไม่รู้ถึงสิทธิของบุคคลภายนอก)
– ใช้หนี้ให้แก่ผู้ครองทรัพย์ขณะนั้น
– การใช้หนี้ได้ทำโดยสุจริต และไม่ได้เป็นไปโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ดังนั้น ฟ้าจะเรียกให้แดงรับผิดอีกได้ เพราะหนี้ไม่ระงับ เนื่องจากสิทธิของบุคคลภายนอกเป็นที่รู้อยู่แก่แดงว่าดำไม่ใช่เจ้าของรถ และขาวก็สามารถเรียกให้แดงรับผิดได้เช่นกันเพราะกำแพงบ้านเป็นอสังหาริมทรัพย์จึงไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 441 หนี้ยังไม่ระงับ
สรุป ขาวและฟ้าสามารถเรียกให้แดงรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายอีกได้