การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2003
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ประมาณเที่ยงคืน อารีย์จอดรถยนต์อยู่บนถนนสายหนึ่งในที่มืดโดยไม่ได้เปิดสัญญาณไฟหน้ารถและท้ายรถไว้ ระย้าและทองเกลียวขับรถยนต์แข่งกันมาด้วยความเร็วสูง และได้เสียหลักพุ่งชนท้ายรถยนต์ของอารีย์ ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้รถของอารีย์เสียหายทั้งคัน
ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าอารีย์จะฟ้องร้องให้ระย้าและทองเกลียวร่วมกันรับผิดเพราะทั้งสองคนร่วมกันกระทำละเมิดต่อตนได้หรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 223 วรรคแรก ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้นต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร
มาตรา 301 ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 432 ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย
มาตรา 442 ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 223 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ระย้าและทองเกลียวได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมกันกระทำละเมิดหรือไม่ เห็นว่า การจะถือว่าเป็นการร่วมกันทำละเมิด ตามบทบัญญัติมาตรา 432 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำร่วมมือร่วมใจกันกระทำมาตั้งแต่ต้น เมื่อข้อเท็จจริงนี้ปรากฏว่าระย้าและทองเกลียวต่างคนต่างประมาทในการทำให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่อารีย์ จึงไม่อาจถือได้ว่าทั้งสองมีเจตนาร่วมกันในการกระทำหรือได้ร่วมมือร่วมใจกันในการกระทำ อันจะเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดตามมาตรา 432 ดังนั้น ระย้าและทองเกลียวจึงมีความผิดฐานต่างคนต่างกระทำละเมิดต่ออารีย์โดยประมาทเลินเล่อตามมาตรา 420 เทียบฎีกาที่ 3071 – 3072/2522
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า ระย้าและทองเกลียวต้องร่วมกันรับผิดหรือไม่ เห็นว่า เมื่อถือว่าทั้งสองไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิด ทั้งสองจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดตามมาตรา 432 อย่างไรก็ดี เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความเสียหายที่ไม่อาจแบ่งแยกความรับผิดกันได้ว่า ระย้าหรือทองเกลียวก่อให้เกิดความเสียหายในส่วนใดอย่างไร ความรับผิดของระย้าและทองเกลียวจึงต้องเป็นความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 301
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า เมื่ออารีย์มีส่วนผิดอยู่ด้วย ระย้าและทองเกลียวจะอ้างเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ต้องรับผิดได้หรือไม่ เห็นว่า การที่อารีย์จอดรถบนถนนหลวงโดยไม่ได้เปิดไฟหน้ารถและท้ายรถไว้ย่อมถือได้ว่าอารีย์มีส่วนผิดในการก่อให้เกิดความเสียหายด้วย ดังนั้นในการวินิจฉัยคดีเรียกค่าสินไหมทดแทนจึงต้องคำนึงด้วยว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไรตามมาตรา 442 ประกอบมาตรา 223
สรุป อารีย์จะฟ้องร้องให้ระย้าและทองเกลียวร่วมกันรับผิดเพราะทั้งสองคนร่วมกันกระทำละเมิดตามมาตรา 432 และฟ้องได้ในฐานะเป็นความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในความเสียหายที่ไม่อาจแบ่งแยกความรับผิดกันได้
ข้อ 2 เฟื่องเช่าบ้านของแซมอยู่บนชั้นสาม โดยแซมใช้ชั้นล่างและชั้นสองเปิดสำนักงานทนายความ วันเกิดเหตุขณะที่หนูยิ้มบุตรสาววัยสิบขวบของเฟื่องยืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นสาม หนูยิ้มเห็นเอื้องกำลังคุ้ยเขี่ยของบนกองขยะอยู่ จึงหยิบขวดน้ำส้มสายชูที่อยู่ในครัว ขว้างไปที่กองขยะที่เอื้องนั่งอยู่ ทำให้เอื้องได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นตาบอดหนึ่งข้าง
ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า เอื้องจะเรียกให้ใครรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการที่ตนต้องตาบอดได้หรือไม่ และหากปรากฏว่าเอื้องมีเด็กชายอุ้ยอายุ 1 เดือน เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย เด็กชายอุ้ยจะเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 429 บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น
มาตรา 436 บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น หรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร
มาตรา 443 วรรคท้าย ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่า บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า เอื้องจะเรียกให้ใครรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการที่ตนต้องตาบอดได้หรือไม่ เห็นว่า การที่หนูยิ้มขว้างขวดน้ำส้มสายชูลงมาทำให้เอื้องได้รับบาดเจ็บถึงขั้นตาบอด การกระทำของหนูยิ้มเป็นการกระทำโดยรู้ถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จึงถือว่าเป็นการจงใจซึ่งเป็นการกระทำโดยไม่มีสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายก่อให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายของเอื้อง และการกระทำสัมพันธ์กับผลของการกระทำ จึงเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 หนูยิ้มต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
กรณีไม่ใช่ความรับผิดตามมาตรา 436 เพราะการที่จะเป็นความรับผิดตามมาตรา 436 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะต้องไม่มีการจงใจหรือไม่มีการประมาทเลินเล่อของบุคคล ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการจงใจหรือมีการประมาทเลินเล่อของบุคคลใด ก็ต้องนำบทบัญญัติมาตรา 420 มาใช้บังคับเอาผิดกับบุคคลนั้น จะนำมาตรา 436 มาใช้บังคับไม่ได้ นอกจากนั้นการจะนำบทบัญญัติมาตรา 436 มาใช้บังคับนั้น หมายถึง มีข้อเท็จจริงว่าของได้ตกหล่นหรือทิ้งขว้างจากโรงเรือนนั้นและไม่อาจหาตัวผู้กระทำให้เกิดความเสียหายได้ แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า หนูยิ้มเป็นผู้กระทำโดยจงใจ หนูยิ้มจึงต้องรับผิดตามมาตรา 420 แต่เพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ดี เมื่อหนูยิ้มเป็นบุตรผู้เยาว์ของเฟื่อง และมีการกระทำละเมิดต่อผู้อื่น มารดาของผู้กระทำละเมิด คือ เฟื่อง จึงต้องร่วมกันรับผิดกับบุตรผู้เยาว์ตามมาตรา 429 ที่ว่า แม้ผู้กระทำละเมิดจะไร้ความสามารถ เพราะเหตุเป็นผู้เยาว์ก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาของบุคคลเช่นว่านั้นย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย ทั้งนี้เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่การเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์นั้นแล้ว แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีการระมัดระวัง ดังนั้น เฟื่องจึงต้องร่วมรับผิดกับหนูยิ้มในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเอื้อง
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า เด็กชายอุ้ยจะเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่ เห็นว่า ค่าขาดไร้อุปการะจะเรียกร้องได้เฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายจากการกระทำละเมิดถึงแก่ความตายแล้วเท่านั้น ตามมาตรา 443 วรรคท้าย เมื่อเอื้องเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บตาบอดได้รับความเสียหายแก่ร่างกายไม่ถึงกับตาย เอื้องจึงเป็นผู้เสียหายเองที่จะมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ไม่ใช่ทายาทและไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ผู้เสียหายเองเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ ดังนั้นเด็กชายอุ้ยแม้จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายซึ่งตามกฎหมายครอบครัวจะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดอุปการะจากหนูยิ้มได้ตามมาตรา 443 วรรคท้าย
สรุป เอื้องสามารถเรียกให้หนูยิ้มและเฟื่องรับผิดในการที่ตนตาบอดได้ ส่วนเด็กชายอุ้ยไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดอุปการะได้
ข้อ 3 นายเอกเขียนจดหมายส่งไปถึงนายโทซึ่งอยู่ต่างจังหวัด ในจดหมายมีข้อความว่า “นายขาวเป็นคนไม่ดี เคยติดคุกติดตะรางมาแล้ว” เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำจดหมายไปส่งที่บ้านของนายโท ปรากฏว่านายโทไม่อยู่บ้าน มีเพียงนายตรีซึ่งเพิ่งเดินทางมาจากจังหวัดใกล้เคียงมาพักอยู่กับนายโทนี่ที่เป็นเพื่อนกัน เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงยื่นจดหมายให้กับนายตรี นายตรีรับจดหมายมาแล้ว ต่อมาได้แกะจดหมายออกอ่านจึงทราบข้อความในจดหมายทุกประการ
ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายขาวเป็นคนดี ไม่เคยติดคุกแต่ประการใด
ดังนี้ นายเอกต้องรับผิดในทางละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 423 ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้
วินิจฉัย
หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อละเมิดตามมาตรา 423 วรรคแรก (หมิ่นประมาททางแพ่ง) มีดังนี้
1 เป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง
2 ทำให้แพร่หลาย กล่าวคือ กระทำต่อบุคคลที่สามคนเดียวก็ถือว่าแพร่หลายแล้ว โดยบุคคลที่สามต้องสามารถเข้าใจคำกล่าวหรือการไขข่าวนั้นได้
3 มีความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของบุคคลอื่น
4 มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
สำหรับบุคคลที่สาม ที่จะทำให้การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายนั้น หมายความถึง บุคคลที่ได้ยินได้ฟังหรือได้เห็น หรือได้อ่านข้อความที่มีการกล่าวไขข่าว โดยบุคคลนั้นมิใช่ผู้ที่ถูกใส่ความ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ผู้ร่วมกระทำละเมิด หรือสามีภริยาซึ่งกันและกัน หรือผู้แอบดู แอบฟัง หรือแอบรู้เห็นโดยละเมิด ซึ่งเป็นบุคคลผู้ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องของผู้อื่น โดยที่ผู้กล่าวหรือไขข่าวมิได้ตั้งใจจะให้ผู้ใดมาล่วงรู้หรือต้องการให้รู้กันเฉพาะกลุ่มของตน
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า นายเอกจะต้องรับผิดในทางละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าวหรือไม่ เห็นว่า การที่นายเอกเขียนจดหมายถึงนายโทซึ่งอยู่ต่างจังหวัด กรณีดังกล่าวถือได้ว่ามีการกระทำเข้าลักษณะการไขข่าว แต่การไขข่าวของนายเอกไม่ได้แพร่หลาย เพราะไม่ได้กระทำต่อบุคคลที่สาม เนื่องจากการที่นายเอกส่งจดหมายไปให้นายโทแต่นายโทไม่อยู่บ้าน นายตรีซึ่งเป็นเพื่อนบ้านนายโทรับจดมายไว้แทนและแกะจดหมายออกอ่าน ถือได้ว่านายตรีเป็นผู้แอบดู แอบรู้เห็นโดยละเมิด มิใช่บุคคลที่นายเอกจงใจจะไขข่าวให้ทราบ กรณีนี้ถือไม่ได้ว่านายตรีเป็นบุคคลที่สาม เมื่อการไขข่าวของนายเอกไม่ได้แพร่หลาย การกระทำของนายเอกจึงไม่เป็นการละเมิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 423
สรุป การกระทำของนายเอกไม่เป็นการละเมิดตามมาตรา 423
ข้อ 4 นายเอประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ได้รายได้สุทธิวันละ 1,000 บาท ได้อยู่กินกับนางสาวบี โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสจนมีบุตร 1 คน คือ เด็กหญิงแดง นายเอได้อุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงแดงพร้อมทั้งให้ใช้นามสกุลในวันเกิดเหตุนายเอและนางสาวบีได้พาเด็กหญิงแดงไปทานสุกี้ฉลองวันเกิดครบ 1 ปี ที่ร้านสุกี้แห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทานอยู่นั้นเด็กหญิงแดงได้ร้องไห้บ้างเป็นบางครั้งคราว ทำให้นายโหดที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆหงุดหงิดรำคาญจึงลุกเดินมาต่อยตานายเอจนปิดและบวมช้ำ และนายโหดยังได้โยนหม้อสุกี้ที่กำลังเดือดใส่เด็กหญิงแดง เป็นเหตุให้เด็กหญิงแดงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตลง ข้อเท็จจริงต่อมา นายเอได้เสียค่ารักษาพยาบาลดวงตาไป 10,000 บาท ดวงตาจึงหายเป็นปกติ อีกทั้งนายเอไม่สามารถขับรถแท็กซี่ได้ต้องหยุดพักรักษาดวงตาเป็นเวลา 5 วัน จงวินิจฉัยพร้อมให้เหตุผลและหลักกฎหมายประกอบโดยชัดเจน
ก) นายเอมีสิทธิฟ้องเรียกค่าปลงศพเด็กหญิงแดงและค่าขาดไร้อุปการะจากนายโหดได้หรือไม่
ข) นายเอมีสิทธิฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลดวงตา 10,000 บาท และค่าที่ตนต้องขาดรายได้ เนื่องจากไม่สามารถขับรถแท็กซี่เป็นเวลา 5 วัน จากนายโหดได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 443 ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย
ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย
ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่า บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 444 วรรคแรก ในกรณีทำให้เสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั้น ผู้เสียหายชอบที่จะได้ชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป และค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วน ทั้งในเวลาปัจจุบันนั้นและในเวลาอนาคตด้วย
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโหดเดินมาต่อยตานายเอจนตาปิดและบวมช้ำ และนายโหดยังได้โยนหม้อสุกี้ที่กำลังเดือดใส่เด็กหญิงแดงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตลงนั้น ถือเป็นการกระทำโดยจงใจทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายต่อชีวิตและร่างกาย และการกระทำสัมพันธ์กับผลของการกระทำ ดังนั้นการกระทำของนายโหดจึงเป็นละเมิดตามมาตรา 420
ก) นายเอจะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะจากนายโหดได้หรือไม่นั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคแรก กำหนดว่า ผู้มีสิทธิเรียกค่าปลงศพต้องเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดการศพตามกฎหมายมรดกซึ่งก็คือทายาทของผู้ถูกกระทำละเมิดถึงแก่ความตาย นายเออยู่กินกับนางสาวบีโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส นายเอเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้นายเอได้อุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงแดงพร้อมทั้งให้ใช้นามสกุลของตน ก็ถือว่าเป็นกรณีที่นายเอบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายให้การรับรองบุตรนอกกฎหมายโดยพฤติการณ์ตามมาตรา 1627 เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้นายเอกลายเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กหญิงแดงแต่อย่างใด ดังนั้นนายเอจึงมิใช่ทายาทของเด็กหญิงแดง นายเอจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าปลงศพเด็กหญิงแดงจากนายโหดได้ เทียบฎีกาที่ 14/2517
สำหรับค่าขาดไร้อุปการะ นายเอจะมีสิทธิฟ้องเรียกได้หรือไม่นั้น เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย กำหนดไว้โดยเฉพาะว่าผู้มีสิทธิในการเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิดจะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว เมื่อนายเอมิได้เป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กหญิงแดงผู้เยาว์ เด็กหญิงแดง (ผู้ตาย) จึงไม่มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูนายเอที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1563 ดังนั้น นายเอย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคท้าย จากนายโหดผู้กระทำละเมิด เทียบฎีกาที่ 1409/2548 กับฎีกาที่ 7458/2543
ข) เมื่อนายเอเป็นผู้ต้องเสียหายที่ถูกนายโหดกระทำละเมิดจนได้รับบาดเจ็บแก่ดวงตานั้น นายเอย่อมชอบที่จะเรียกค่ารักษาพยาบาลดวงตา 10,000 บาท ที่ตนเสียไปตามมาตรา 444 วรรคแรก เทียบฎีกาที่ 1085/2511
อีกทั้งนายเอไม่สามารถขับรถแท็กซี่ได้ต้องหยุดพักรักษาดวงตาเป็นเวลา 5 วัน ถือได้ว่านายเอได้เสียความสามารถประกอบการงานขับรถแท็กซี่สิ้นเชิงเป็นเวลา 5 วัน ทำให้ต้องขาดรายได้วันละ 1,000 บาท นายเอจึงชอบที่จะเรียกค่าขาดรายได้จำนวนทั้งสิ้น 5,000 บาท ได้ ตามมาตรา 444 วรรคแรกด้วย
สรุป
ก) นายเอไม่มีสิทธิเรียกทั้งค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูจากนายโหด
ข) นายเอเรียกค่ารักษาพยาบาลและค่าขาดรายได้เสียความสามารถประกอบการงานจากนายโหดได้