การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2003 

Advertisement

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  เอกชัยและเอกวิทย์เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินซึ่งตกเป็นทางภาระจำยอมให้ทั้งสองคนใช้เป็นทางรถและใช้ในกิจการสาธารณูปโภคได้ โดยได้จดบันทึกภาระจำยอมไว้ที่พนักงานที่ดินแล้ว  เพียงแต่เอกชัยไม่ได้ลงชื่อไว้ในบันทึกเท่านั้น  ต่อมาอีกสองปี  เอกภาพได้สมัครเป็นลูกจ้างของเอกชัย  ทำหน้าที่ดูแลซ่อมแซมเครื่องจักรและสิ่งต่างๆภายในบริเวณโรงงาน

วันหนึ่ง  เอกชัยได้สั่งให้เอกภาพทำการปักเสาคอนกรีต  4  ต้น  ในทางซึ่งเอกภาพไม่ทราบว่าเป็นทางภาระจำยอมนั้น  รวมทั้งยังสั่งให้ทำคานบนเสาและติดป้ายห้ามรถเข้าออก  ห้ามปักเสาไฟฟ้าและท่อระบายน้ำด้วย  เมื่อเอกภาพกระทำตามคำสั่งของนายจ้าง  จึงทำให้เอกวิทย์ไม่สามารถนำรถเข้าออกผ่านทางภาระจำยอมนั้นได้  จะต้องขับอ้อมไปอีกทางหนึ่งซึ่งต้องเสียเวลาอีก  20  นาที

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าเอกวิทย์จะฟ้องร้องให้เอกชัยและเอกภาพรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ของการกระทำอันเป็นการละเมิดตามมาตรา  420  ประกอบด้วย

1       เป็นบุคคลที่มี  การกระทำ  โดยรู้สำนึก  และได้กระทำโดยการเคลื่อนไหวร่างกายหรือโดยการงดเว้นก็ได้  ซึ่งได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

2       ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย

3       มีความเสียหายต่อชีวิต  ร่างกาย  อนามัย  เสรีภาพ  ทรัพย์สิน  หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด

4       ผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์  เอกวิทย์จะฟ้องร้องให้เอกชัยและเอกภาพรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของเอกภาพ  การที่เอกภาพได้ทำการปักเสาคอนกรีต  4  ต้น  รวมทั้งทำคานบนเสาและติดป้ายห้ามรถเข้าออกในทางภาระจำยอม จนทำให้เอกวิทย์ไม่สามารถนำรถเข้าออกผ่านทางภาระจำยอมนั้นได้  แม้การกระทำของเอกภาพจะทำให้เอกวิทย์ได้รับความเสียหายก็ตาม  แต่เมื่อเอกภาพได้กระทำตามคำสั่งของนายจ้างโดยไม่ทราบว่าเป็นทางภาระจำยอม  จะถือว่าเอกภาพได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้เอกวิทย์ได้รับความเสียหายไม่ได้  การกระทำของเอกภาพจึงไม่เป็นการทำละเมิดตามมาตรา  420  ดังนั้นเอกวิทย์จะฟ้องร้องให้เอกภาพรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดไม่ได้

กรณีของเอกชัย  เมื่อการกระทำของเอกภาพซึ่งเป็นลูกจ้างไม่ถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อเอกวิทย์  ดังนั้นเอกชัยซึ่งเป็นนายจ้างจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดกับเอกภาพ  เพราะตามมาตรา  425  นั้นนายจ้างจะต้องรับผิดร่วมกันกับลูกจ้างก็ต่อเมื่อลูกจ้างได้ทำละเมิดต่อบุคคลอื่น  และได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้นด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่เอกชัยได้สั่งให้เอกภาพกระทำการดังกล่าวทั้งที่ทราบว่าเป็นทางภาระจำยอมและจะทำให้เอกวิทย์ได้รับความเสียหายต่อสิทธิในการใช้ทางภาระจำยอมนั้น  ดังนั้นจึงถือว่าเอกชัยได้ทำละเมิดต่อเอกวิทย์ตามมาตรา  420  ด้วยตนเองโดยใช้เอกภาพเป็นเครื่องมือในการทำละเมิด  เอกวิทย์จึงสามารถฟ้องร้องให้เอกชัยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้ตามมาตรา  420

สรุป  เอกวิทย์สามารถฟ้องร้องให้เอกชัยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้ตามมาตรา  420  แต่จะฟ้องร้องเอกภาพไม่ได

 

 

ข้อ  2  นายกุ้งเขียนจดหมายส่งไปถึงนายปลาซึ่งอยู่ต่างจังหวัด  ในจดหมายมีข้อความว่า  “นายหมึกเป็นคนไม่ดี  เคยค้ายาเสพติดและเคยติดคุกติดตะรางมาแล้ว”  เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำจดหมายไปส่งที่บ้านของนายปลา

ปรากฏว่านายปลาไม่อยู่บ้าน  มีเพียงนายหอยซึ่งเพิ่งเดินทางมาจากจังหวัดใกล้เคียงมาพักอยู่กับนายปลาที่เป็นเพื่อนกัน  เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงยื่นจดหมายให้กับนายหอย  นายหอยรับจดหมายมาแล้ว  ต่อมาได้แกะจดหมายออกอ่าน  จึงทราบข้อความในจดหมายทุกประการ  ข้อเท็จจริงได้ความว่านายหมึกเป็นคนดี  ไม่เคยค้ายาเสพติดและไม่เคยติดคุกแต่ประการใด  และกำลังจะลงสมัคร  ส.ส.

ดังนี้นายกุ้งต้องรับผิดทางละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าวหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  423  วรรคแรก  ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง  เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี  หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่การนั้น  แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง  แต่หากควรจะรู้ได้

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อละเมิดตามมาตรา  423  วรรคแรก  (หมิ่นประมาททางแพ่ง)  มีดังนี้

1       เป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง

2       ทำให้แพร่หลาย  กล่าวคือ  กระทำต่อบุคคลที่สามคนเดียวก็ถือว่าแพร่หลายแล้ว  โดยบุคคลที่สามต้องสามารถเข้าใจคำกล่าวหรือการไขข่าวนั้นได้

3       มีความเสียหายต่อชื่อเสียง  เกียรติคุณ  ทางทำมาหาได้  หรือทางเจริญของบุคคลอื่น

4       มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล

สำหรับ  “บุคคลที่สาม”  ที่จะทำให้การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายนั้น  หมายความถึง  บุคคลที่ได้ยินหรือได้ฟังหรือได้เห็น  หรือได้อ่านข้อความที่มีการกล่าวหรือไขข่าว  โดยบุคคลนั้นมิใช่ผู้ที่ถูกใส่ความ  แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ผู้ร่วมกระทำละเมิด  หรือสามีภริยาซึ่งกันและกัน  หรือผู้แอบดู  แอบฟัง  หรือแอบรู้เห็นโดยละเมิดซึ่งเป็นบุคคลผู้ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องของผู้อื่น  โดยที่ผู้กล่าวหรือไขข่าวมิได้ตั้งใจจะให้ผู้ใดมาล่วงรู้หรือต้องการให้รู้กันเฉพาะกลุ่มของตน

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  นายกุ้งจะต้องรับผิดทางละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าวหรือไม่  เห็นว่า  การที่นายกุ้งเขียนจดหมายส่งไปถึงนายปลาซึ่งอยู่ต่างจังหวัดโดยมีข้อความว่า  “นายหมึกเป็นคนไม่ดี  เคยค้ายาเสพติดและเคยติดคุกติดตะรางมาแล้ว”  ซึ่งเป็นข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงเพราะข้อเท็จจริงได้ความว่านายหมึกเป็นคนดี  ไม่เคยค้ายาเสพติดและไม่เคยติดคุกแต่อย่างใด  ถือว่าการกระทำของนายกุ้งเข้าลักษณะการไขข่าวแล้ว

แต่อย่างไรก็ดี  การไขข่าวของนายกุ้งไม่ได้แพร่หลาย  เพราะไม่ได้กระทำต่อบุคคลที่สาม  เนื่องจากการที่นายกุ้งส่งจดหมายไปให้นายปลาแต่นายปลาไม่อยู่บ้าน  นายหอยซึ่งเป็นเพื่อนของนายปลาได้รับจดหมายไว้แทนและได้แกะจดหมายออกอ่าน  ถือว่านายหอยเป็นผู้แอบดู  แอบรู้เห็นโดยละเมิดมิใช่บุคคลที่นายกุ้งจงใจจะไขข่าวให้ทราบ  กรณีนี้จึงไม่ถือว่านายหอยเป็นบุคคลที่สาม  และเมื่อการไขข่าวของนายกุ้งไม่ได้แพร่หลาย  ดังนั้นการกระทำของนายกุ้งจึงไม่เป็นการทำละเมิดโดยการไขข่าวแพร่หลายอันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่งตามมาตรา  423  นายกุ้งจึงไม่ต้องรับผิดทางละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าว

สรุป  นายกุ้งไม่ต้องรับผิดทางละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าวตามมาตรา  423 

 

 

ข้อ  3  นางสุดสวยเลี้ยงลูกแมวอยู่ในห้องพักของตนที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง  วันหนึ่งนางสุดสวยเตะลูกแมว  แล้วลูกแมววิ่งไปชนกระถางต้นไม้ของตนที่วางอยู่บนระเบียงห้องพัก  ทำให้กระถางต้นไม้หล่นใส่ศีรษะของนายอึ่งอ่างที่นั่งเล่นอยู่ข้างล่าง  และนายอึ่งอ่างศีรษะแตก

ดังนี้หากนายอึ่งอ่างมาปรึกษาท่านว่าไม่เห็นว่าใครทำกระถางต้นไม้หล่นใส่ตนแต่เห็นลูกแมวร้อง  และเห็นว่าเป็นกระถางต้นไม้ที่อยู่ในความครอบครองของนางสุดสวยเท่านั้น  ท่านจะแนะนำให้นายอึ่งอ่างเรียกค่าสินไหมทดแทนในเหตุละเมิดกับผู้ใดได้บ้างหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  433  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น …

มาตรา  436  บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น  หรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางสุดสวยเตะลูกแมวแล้วลูกแมววิ่งไปชนกระถางต้นไม้ของตนที่วางอยู่บนระเบียงห้องพัก  ทำให้กระถางต้นไม้หล่นใส่ศีรษะของนายอึ่งอ่างที่นั่งเล่นอยู่ข้างล่างและนายอึ่งอ่างศีรษะแตกนั้น  จะถือว่าเกิดจากการกระทำของนางสุดสวยไม่ได้  เพราะนางสุดสวยไม่ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้นายอึ่งอ่างได้รับความเสียหายแก่ร่างกาย  อีกทั้งความเสียหายที่นายอึ่งอ่างได้รับก็ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแต่อย่างใด  ดังนั้นนายอึ่งอ่างจะเรียกค่าสินไหมทดแทนในเหตุละเมิดจากนางสุดสวยตามมาตรา  420  ไม่ได้

และการที่กระถางต้นไม้หล่นใส่ศีรษะของนายอึ่งอ่างนั้น  นายอึ่งอ่างก็ไม่เห็นว่าใครทำกระถางต้นไม้หล่นมาใส่ตนแต่เห็นเพียงลูกแมวร้องเท่านั้น  ดังนั้นกรณีดังกล่าวจะถือว่าความเสียหายที่นายอึ่งอ่างได้รับเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ทำให้นางสุดสวยเจ้าของสัตว์ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายอึ่งอ่างตามมาตรา  433  ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่กระถางต้นไม้ที่นางสุดสวยวางอยู่บนระเบียงห้องพัก  ได้หล่นมาใส่ศีรษะของนายอึ่งอ่าง  จนทำให้นายอึ่งอ่างศีรษะแตกนั้น  ถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา  436  ที่ว่าความเสียหาย  (ที่นายอึ่งอ่าวศีรษะแตก)  ได้เกิดขึ้นเพราะของตกหล่นจากโรงเรือน  ดังนั้นบุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนนั้นต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น  กล่าวคือนางสุดสวยจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่กระถางต้นไม้ของตนได้หล่นใส่ศีรษะของนายอึ่งอ่างทำให้นายอึ่งอ่างศีรษะแตกนั่นเอง

สรุป  หากนายอึ่งอ่างมาปรึกษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะแนะนำให้นายอึ่งอ่างเรียกค่าสินไหมทดแทนในเหตุละเมิดกับนางสุดสวยตามมาตรา  436  ตามเหตุผลที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ  4  นายเอกชัยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวตั๊กแตน  มีบุตรด้วยกันหนึ่งคนชื่อนางสาวไฮ  โดยนายเอกชัยได้ให้นางสาวไฮใช้นามสกุลของตน  เมื่อนางสาวไฮมีอายุได้  15  ปี  1  เดือน  นายมนต์สิทธิ์ได้จดทะเบียนรับนางสาวไฮไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องตามกฎหมาย  วันเกิดเหตุนายบันเทิงได้รับคำสั่งจากนายบรรเลงนายจ้างให้ขับรถบรรทุกเครื่องดนตรีจากกรุงเทพฯไปที่จังหวัดนครสวรรค์  ระหว่างทางนายบันเทิงได้แวะเยี่ยมลูกสาวที่อยุธยา  ปรากฏว่าด้วยความเร่งรีบ  เกรงว่าจะไปไม่ทันทำให้นายบันเทิงขับรถไปชนนางสาวไฮ  ขณะนั้นอายุ  21  ปีถึงแก่ความตาย  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

1)     นายบันเทิงและนายบรรเลง  จะต้องรับผิดในทางละเมิดหรือไม่  เพราะเหตุใด

2)    นายเอกชัยและนายมนต์สิทธิ์  จะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  443  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่  ค่าปลงศพ  รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล  รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้  ท่านว่า  บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีดังนี้  คือ

ประเด็นที่  1  นายบันเทิงและนายบรรเลงจะต้องรับผิดในทางละเมิดเพื่อความเสียหายแก่ชีวิตของนางสาวไฮหรือไม่

กรณีนายบันเทิง  การที่นายบันเทิงขับรถด้วยความเร่งรีบทำให้นายบันเทิงขับรถไปชนนางสาวไฮทำให้นางสาวไฮถึงแก่ความตายนั้น  การกระทำของนายบันเทิงถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อที่ทำต่อนางสาวไฮโดยผิดกฎหมายทำให้นางสาวไฮเสียหายแก่ชีวิตและผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำดังกล่าว  จึงถือว่านายบันเทิงได้ทำละเมิดต่อนางสาวไฮตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดนั้น

กรณีนายบรรเลง  เมื่อการกระทำของนายบันเทิงซึ่งเป็นลูกจ้างของนายบรรเลงนั้นเป็นการทำละเมิดและได้กระทำไปในทางการที่จ้าง  ดังนั้นนายบรรเลงซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดคือการที่นางสาวไฮถึงแก่ความตายด้วยตามมาตรา  425

ประเด็นที่  2  นายเอกชัยและนายมนต์สิทธิ์จะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่

กรณีนายเอกชัย  การทำละเมิดเป็นเหตุทำให้ผู้ถูกกระทำละเมิดถึงแก่ความตายนั้น  ตามบทบัญญัติมาตรา  443  วรรคท้าย  ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะว่าผู้มีสิทธิในการเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิดจะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว  ดังนั้นการที่นายเอกชัยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวตั๊กแตน  มีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือ  นางสาวไฮ  โดยนายเอกชัยได้ให้นางสาวไฮใช้นามสกุลของตนเป็นแต่เพียงการรับรองบุตรนอกกฎหมายโดยพฤติการณ์  ไม่ใช่เป็นการรับรองบุตรโดยนิตินัยตามมาตรา  1547  นายเอกชัยจึงเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนางสาวไฮ  นางสาวไฮ(ผู้ตาย)  จึงไม่มีหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูนายเอกชัย ดังนั้นนายเอกชัยย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา  443  วรรคท้าย  จากนายบันเทิงผู้กระทำละเมิดและนายบรรเลงนายจ้างของนายบันเทิง   (ฎ. 7458/2543)

กรณีนายมนต์สิทธิ์  เมื่อนางสาวไฮมีอายุได้  15  ปี  1  เดือน  นายมนต์สิทธิ์ได้จดทะเบียนรับนางสาวไฮไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องตามกฎหมายตามมาตรา  1598/28  วรรคท้าย  บัญญัติให้นำบทบัญญัติในลักษณะ  2  หมวด  2  แห่งบรรพ  5  มาใช้บังคับระหว่างบุตรบุญธรรมกับผู้รับบุตรบุญธรรมด้วย  กล่าวคือ  บุตรบุญธรรมย่อมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูผู้รับบุตรบุญธรรมตามมาตรา  1563  ประกอบมาตรา  1598/28  วรรคท้าย  ดังนั้น  เมื่อนางสาวไฮถูกกระทำละเมิดถึงแก่ความตาย  นายมนต์สิทธิ์ย่อมขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูตามกฎหมาย  นายมนต์สิทธิ์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูได้ตามมาตรา  443  วรรคท้าย  (ฎ. 713/2517)

สรุป

1       นายบันเทิงและนายบรรเลง  จะต้องรับผิดในทางละเมิดเพื่อความเสียหายแก่ชีวิตของนางสาวไฮ  ตามมาตรา  420  และมาตรา  425

2       นายเอกชัยไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะ  แต่นายมนต์สิทธิ์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ตามมาตรา  443 วรรคท้าย

Advertisement