การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2003
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 เด็กชายโค่ง อายุ 12 ขวบ อยู่ในความดูแลของยายใสเป็นเวลาสองวันเพราะนางสวยมารดาของเด็กชายโค่งต้องไปต่างจังหวัด จึงนำบุตรมาฝากให้ยายเลี้ยง เด็กชายโค่งเป็นเด็กเกเร ชอบคบเพื่อนเกเร ซึ่งยายใสก็ตามใจหลานเพราะรักและเอ็นดูหลาน
วันเกิดเหตุ เด็กชายโค่งได้นัดหมายเด็กชายเอกและเด็กชายโทซึ่งอยู่ในวัยเดียวกันไปจุดพลุหลายดอก แล้วโยนเข้าไปในบ้านของนายโชคร้าย ทำให้ทรัพย์สินของนายโชคร้ายเสียหาย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายโชคร้ายจะเรียกให้ใครรับผิดได้บ้าง เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 429 บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น
มาตรา 430 ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร
มาตรา 432 ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย
อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย
ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เด็กชายโค่งได้นัดหมายกับเด็กชายเอกและเด็กชายโท ซึ่งอยู่ในวัยเดียวกัน ไปจุดพลุหลายดอก แล้วโยนเข้าไปในบ้านของนายโชคร้าย จนทำให้ทรัพย์สินของนายโชคร้ายเสียหายนั้น การกระทำของบุคคลทั้งสามถือว่าเป็นการร่วมกันกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินและผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำดังกล่าว จึงถือว่าบุคคลทั้งสามได้ร่วมกันทำละเมิดต่อนายโชคร้ายตามมาตรา 420 ประกอบมาตรา 432 จึงต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายโชคร้าย ดังนั้น นายโชคร้ายจึงเรียกให้เด็กชายโค่ง เด็กชายเอก และเด็กชายโทร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
และเมื่อปรากฏว่า เด็กชายโค่งซึ่งเป็นผู้ไร้ความสามารถ (ผู้เยาว์) อยู่ในความดูแลของยายใส และยายใสไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการดูแลเด็กชายโค่ง ดังนั้น นายโชคร้ายจึงเรียกร้องให้ยายใสร่วมรับผิดกับเด็กชายโค่งได้ เพราะถือเป็นผู้รับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถตามมาตรา 430 แม้จะเป็นการดูแลเพียงชั่วคราวก็ตาม
นอกจากนี้เมื่อปรากฏว่า เด็กชายโค่งเป็นบุตรของนางสวย ดังนั้น นายโชคร้ายจึงมีสิทธิเรียกร้องให้นางสวยมารดาของเด็กชายโค่งซึ่งเป็นผู้ไร้ความสามารถ (ผู้เยาว์) รับผิดร่วมกับเด็กชายโค่งอีกด้วยตามมาตรา 429 แต่นางสวยก็สามารถยกข้อต่อสู้ขึ้นอ้างได้ตามมาตรา 429 ตอนท้ายที่ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลผู้เยาว์แล้วด้วยการนำไปฝากยายเลี้ยงไว้ในขณะที่ตนไม่อยู่บ้าน
สรุป นายโชคร้ายสามารถเรียกให้เด็กชายโค่ง เด็กชายเอก และเด็กชายโท ร่วมกันรับผิดตามมาตรา 420 ประกอบมาตรา 432 และเรียกให้ยายใสร่วมรับผิดกับเด็กชายโค่ง ตามมาตรา 430 รวมทั้งเรียกให้นางสวยร่วมรับผิดกับเด็กชายโค่งได้ ตามมาตรา 429
ข้อ 2 นางอ้อมได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับนายโจ๋ซึ่งคบหาชอบพอกับนางสาวแอมบุตรสาวของนางอ้อมว่านายโจ๋เป็นพ่อค้ายาเสพติด เคยติดคุกตะรางเพราะยาเสพติดมาแล้ว ด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว นางอ้อมจึงรีบกลับมาที่บ้านพักกล่าวต่อหน้านางสาวแอมว่า
“อย่าคบหากับนายโจ๋ต่อไปเลยเพราะนายโจ๋เป็นพ่อค้ายาเสพติด เคยติดคุกติดตะรางเพราะยาเสพติดมาแล้ว” นายเป้ผู้ซึ่งแอบปีนเข้ามาในบริเวณบ้านของนางอ้อมได้ยินข้อความดังกล่าว จึงนำไปกล่าวต่อนายป๊อดว่า “นายโจ๋เป็นพ่อค้ายาเสพติด เคยติดคุกติดตะรางเพราะยาเสพติดมาแล้ว” แต่ในความเป็นจริงนายโจ๋ไม่เคยข้องแวะเกี่ยวกับยาเสพติดใดๆ และไม่เคยติดคุกแต่อย่างใด
จงวินิจฉัยว่า นายโจ๋จะเรียกให้นางอ้อมและนายเป้รับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 423 ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้
ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่
วินิจฉัย
หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อละเมิดตามมาตรา 423 วรรคแรก (หมิ่นประมาททางแพ่ง) มีดังนี้
1 เป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง
2 ทำให้แพร่หลาย กล่าวคือ กระทำต่อบุคคลที่สามคนเดียวก็ถือว่าแพร่หลายแล้ว โดยบุคคลที่สามต้องสามารถเข้าใจคำกล่าวหรือการไขข่าวนั้นได้
3 มีความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของบุคคลอื่น
4 มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
ตามอุทาหรณ์ กรณีที่นางอ้อมได้กล่าวต่อนางสาวแอมบุตรสาวนั้น ถือได้ว่าเป็นการกล่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ทำให้ข้อความนี้แพร่หลายต่อบุคคลที่สาม คือ นางสาวแอม และเป็นที่เสียหายต่อชื่อเสียงของนายโจ๋ อันถือเป็นการหมิ่นประมาทนายโจ๋ ตามมาตรา 423 วรรคแรกแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม นางอ้อมนั้นเป็นมารดาของนางสาวแอม เมื่อได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับนายโจ๋ จึงรีบกลับมาบอกบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง ถือเป็นกรณีที่นางอ้อมส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง โดยนางอ้อมมีทางได้เสียโดยชอบในการส่งข่าวสารนี้ เพราะมารดาย่อมมีทางได้เสียโดยชอบในเรื่องคู่ครองของบุตร ดังนั้น นางอ้อมจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายโจ๋ตามมาตรา 423 วรรคสอง
ส่วนกรณีที่นายเป้แอบปีนเข้ามาในบริเวณบ้านของนางอ้อม และได้ยินข้อความดังกล่าวนั้น ไม่อาจถือได้ว่านายเป้เป็นบุคคลที่สาม เพราะนางอ้อมมิได้ตั้งใจจะให้นายเป้รับรู้ในข้อความดังกล่าว จึงไม่ถือว่านางอ้อมทำให้ข้อความนั้นแพร่หลายต่อบุคคลที่สาม อันจะถือเป็นการหมิ่นประมาทนายโจ๋ตามมาตรา 423 วรรคแรก ดังนั้น นางอ้อมจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายโจ๋ในกรณีนี้เช่นกัน
กรณีที่นายเป้ได้ยินข้อความดังกล่าวแล้วนำไปพูดต่อนั้นย่อมถือเป็นการกล่าวเช่นเดียวกัน เมื่อได้กล่าวต่อบุคคลที่สามคือ นายป๊อด และข้อความนั้นฝ่าฝืนต่อความเป็นจริงและเป็นที่เสียหายต่อชื่อเสียงของนายโจ๋ ดังนั้น นายเป้จึงต้องรับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อนายโจ๋ตามมาตรา 423 วรรคแรก และในกรณีนี้ นายเป้ไม่อาจอ้างข้อยกเว้นความรับผิดตามมาตรา 423 วรรคสองได้ เพราะนายเป้หรือนายป๊อดไม่มีทางได้เสียโดยชอบในเรื่องดังกล่าว
สรุป นายโจ๋เรียกร้องให้นายเป้รับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนได้ แต่จะเรียกร้องให้นางอ้อมรับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนไม่ได้
ข้อ 3 ณเดชท้าบัวขาวแข่งรถกัน ระหว่างแข่งรถกันนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างขับรถด้วยความเร็วสูงทำให้รถเสียหลัก และรถทั้งสองคันพุ่งเข้าชนกำแพงบ้านของเอกชัย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า เอกชัยจะเรียกให้ใครรับผิดได้บ้างอย่างไร และหากว่า
ณเดชได้จ่ายเงินค่าซ่อมกำแพงให้แก่เอกภาพซึ่งเดินออกมาจากบ้านของเอกชัย และต่อว่าทุกคนว่าขับรถมาทำให้กำแพงพัง โดยจ่ายเต็มจำนวนค่าเสียหาย ดังนี้ ณเดชจะยังต้องรับผิดต่อเอกชัยอีกหรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 301 ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 432 ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย
อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย
ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น
มาตรา 441 ถ้าบุคคลจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ เพราะเอาสังหาริมทรัพย์ของเขาไปก็ดี หรือเพราะทำของเขาให้บุบสลายก็ดี เมื่อใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์นั้นอยู่ในขณะที่เอาไป หรือขณะที่ทำให้บุบสลายนั้นแล้ว ท่านว่าเป็นอันหลุดพ้นไปเพราะการที่ได้ใช้ให้เช่นนั้นแม้กระทั่งบุคคลภายนอกจะเป็นเจ้าของทรัพย์หรือมีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้น เว้นแต่สิทธิของบุคคลภายนอกเช่นนั้นจะเป็นที่รู้อยู่แก่ตน หรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ณเดชและบัวขาวได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมกันทำละเมิดหรือไม่ เห็นว่า การจะถือว่าเป็นการ “ร่วมกันทำละเมิด” ตามบทบัญญัติมาตรา 432 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำร่วมมือร่วมใจกันกระทำมาตั้งแต่ต้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าณเดชและบัวขาวต่างคนต่างประมาทเลินเล่อจนทำให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่เอกชัย จึงไม่อาจถือได้ว่าทั้งสองมีเจตนาร่วมกันในการกระทำ หรือได้ร่วมมือร่วมใจกันในการกระทำ อันจะเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดตามมาตรา 432 ดังนั้น ณเดชและบัวขาวจึงมีความผิดฐานต่างคนต่างกระทำละเมิดต่อเอกชัยโดยประมาทเลินเล่อตามมาตรา 420
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า ณเดชและบัวขาวต้องร่วมกันรับผิดหรือไม่ เห็นว่า เมื่อถือว่าทั้งสองไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิด ทั้งสองจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดตามมาตรา 432 อย่างไรก็ดี เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความเสียหายที่ไม่อาจแบ่งแยกความรับผิดกันได้ว่า ณเดชและบัวขาวก่อให้เกิดความเสียหายในส่วนใดอย่างไร ความรับผิดของณเดชและบัวขาวจึงต้องเป็นความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 301
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า ณเดชจะหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ต่อเอกชัยหรือไม่ เห็นว่า การที่ณเดชจ่ายเงินค่าซ่อมกำแพงให้แก่เอกภาพนั้นถือเป็นเรื่องการใช้หนี้ผิดตัว กล่าวคือ เป็นการใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ที่ไม่ใช่ผู้เสียหายที่แท้จริง ซึ่งตามมาตรา 441 บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ทำละเมิดซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายว่าให้เป็นอันหลุดพ้นในความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปนั้น ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าเป็นกรณีที่มีความเสียหายต่อ “สังหาริมทรัพย์” และเป็นการใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ “ผู้ครองทรัพย์” ในขณะนั้น รวมทั้งต้องเป็นการใช้ให้ไปโดย “ปราศจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” ด้วยเท่านั้น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่ากำแพงบ้านไม่ใช่เป็นสังหาริมทรัพย์ จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่ทำให้ณเดชหลุดพ้นจากการชำระหนี้ละเมิดต่อผู้เสียหายที่แท้จริงคือเอกชัยได้ ณเดชจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับเอกชัยอีก
สรุป ณเดชยังต้องรับผิดต่อเอกชัยอีก
ข้อ 4 นาย ก และนาง ข อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรคนหนึ่งคือเด็กชายแดง เมื่อนาง ข คลอดเด็กชายแดงแล้วต่อมาถึงแก่ความตาย นาย ก ไม่ได้อุปการะเลี้ยงดูเด็กชายแดง แต่นาย ก ส่งเสียเด็กชายแดงให้ได้เรียนหนังสือ วันเกิดเหตุ นายโหดขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อ ชนนาย ก ถึงแก่ความตาย ดังนี้ เด็กชายแดงจะเรียกค่าปลงศพจากนายโหดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 443 วรรคแรก ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย
วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคแรก ผู้ที่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย ซึ่งกรณีที่บุตรเรียกเอาค่าปลงศพของบิดานั้น บุตรดังกล่าวจะต้องเป็นผู้สืบสันดานของบิดาตามกฎหมายด้วย (ป.พ.พ. มาตรา 1629 (1)) กล่าวคือ จะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา หรือเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก และนาง ข อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และมีบุตรด้วยกันคนหนึ่งคือ เด็กชายแดงนั้น ดังนี้ถือว่าเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายของนาย ก แต่เมื่อนาย ก ส่งเสียเด็กชายแดงให้ได้เรียนหนังสือ ย่อมถือว่าเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาให้การรับรองโดยพฤติการณ์แล้ว จึงส่งผลให้เด็กชายแดงเป็นผู้สืบสันดานและเป็นทายาทของนาย ก ผู้ตาย (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1627 และมาตรา 1629(1)) ดังนั้น เมื่อนายโหดกระทำละเมิดโดยการขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย ก ถึงแก่ความตาย เด็กชายแดงจึงเรียกร้องค่าปลงศพจากนายโหดได้ตามมาตรา 443 วรรคแรก
สรุป เด็กชายแดงเรียกร้องค่าปลงศพจากนายโหดได้