การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1 เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2552 นางอุบลมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงระยองบุตรผู้เยาว์ได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดของเด็กหญิงระยองให้แก่นายตรัง กำหนดวันจดทะเบียนและชำระราคาที่ดินทั้งหมดในวันที่ 2 กรกฎาคม 2552 ถ้านางอุบลไม่ยอมขายยินยอมให้นายตรังปรับเป็นเงิน 200,000 บาท
โดยขณะตกลงซื้อขายกันนายตรังซึ่งมีอาชีพทนายความนั้น ทราบว่าที่ดินที่ตนจะซื้อเป็นของบุตรผู้เยาว์ของนางอุบล จึงได้ตกลงกันด้วยวาจาว่าทำสัญญาแล้วจึงให้นางอุบลไปร้องขอต่อศาลเพื่อขออนุญาตขายที่ดินดังกล่าว ต่อมาวันที่ 2 มีนาคม 2552 นางอุบลได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขออนุญาตขายที่ดินดังกล่าวให้นายตรังแทนบุตรผู้เยาว์
ต่อมาศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขาย คดีถึงที่สุดโดยนางอุบลไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น และในที่สุดนางอุบลไม่ได้โอนขายที่ดินให้นายตรังตามสัญญา นายตรังจึงเป็นโจทก์ฟ้องนางอุบลต่อศาลฐานผิดสัญญาจะซื้อขาย เรียกเบี้ยปรับ 200,000 บาท ตามสัญญา
ดังนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า นางอุบลต้องรับผิดชดใช้เบี้ยปรับแก่นายตรังหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 219 วรรคแรก ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายตรังมีอาชีพทนายความ และรู้อยู่แล้วว่าในขณะทำสัญญาว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของบุตรผู้เยาว์ของนางอุบล ซึ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับผู้เยาว์จะต้องมีคำสั่งศาลให้ขายได้เสียก่อนจึงจะสามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้นายตรังได้ ทั้งข้อเท็จจริงตามปัญหาก็ไม่ปรากฏว่าพยานหลักฐานที่นางอุบลนำเข้าไต่สวนในคดีดังกล่าวนั้น นางอุบลจงใจให้ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาต เพื่อหลีกเลี่ยงการโอนขายที่ดินให้แก่นายตรัง การที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขายที่ดินของบุตรผู้เยาว์ จึงเป็นไปตามดุลพินิจของศาล ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้และเป็นพฤติการณ์ที่นางอุบลไม่ต้องรับผิดชอบ นางอุบลจึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้ ทั้งนี้ตามมาตรา 219 วรรคแรก นางอุบลจึงไม่ผิดสัญญา และไม่ต้องรับผิดชดใช้เบี้ยปรับให้แก่นายตรังตามสัญญา (ฎ.89/2536)
สรุป นางอุบลไม่ผิดสัญญา ไม่ต้องรับผิดชดใช้เบี้ยปรับให้แก่นายตรังตามสัญญา
ข้อ 2 ในคดีแพ่งเรื่องละเมิดคดีหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า “ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่สร้างปิดกั้นทางเข้าออกซึ่งเป็นทางภาระจำยอมของโจทก์ตามฟ้อง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย” ถ้าคดีนี้มีการอุทธรณ์ขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์
และนักศึกษาเป็นผู้พิพากษาในชั้นศาลอุทธรณ์ที่จะต้องมีคำพิพากษาคดีนี้ นักศึกษาเห็นว่า ถ้อยคำของศาลชั้นต้นที่พิพากษาไว้ดังกล่าว ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 213 หรือไม่ ประการใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 213 วรรคสองและวรรคสาม เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้
ส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายและให้จัดการอันควรเพื่อกาลภายหน้าด้วยก็ได้
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นคดีฟ้องเพื่อขอบังคับจำเลยงดเว้นกระทำการ คือการไม่ปิดกั้นทางภาระจำยอมของโจทก์ ซึ่งลักษณะของการบังคับชำระหนี้ในกรณีนี้ เป็นเรื่องที่ลูกหนี้หรือจำเลยต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่สร้างปิดกั้นทางภาระจำยอมดังกล่าวออกไป โดยลูกหนี้หรือจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ตามมาตรา 213 วรรคสาม
ส่วนการที่ศาลจะมีคำพิพากษาโดยใช้ถ้อยคำว่า หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น จะต้องปรากฏว่ามูลหนี้ตามคำพิพากษามีวัตถุแห่งหนี้เป็นการให้ทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ศาลจึงจะมีคำพิพากษาด้วยถ้อยคำเช่นนั้นได้ ทั้งนี้ตามมาตรา 213 วรรคสอง
ดังนั้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่ว่า หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น จึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 213 วรรคสองและวรรคสาม (ฎ.7091/2542)
สรุป ถ้อยคำของศาลชั้นต้นที่พิพากษาไว้ดังกล่าวไม่ชอบด้วยมาตรา 213
ข้อ 3 เอกเป็นหนี้โทอยู่สองแสนบาท ต่อมาเอกได้เป็นเจ้าหนี้ตรีเป็นจำนวนเงินสองแสนบาท นอกจากความเป็นเจ้าหนี้ตรีแล้ว เอกไม่มีทรัพย์สินอื่นอีก ปรากฏว่าเอกได้ทำหนังสือปลดหนี้สองแสนบาทให้แก่ตรี
ดังนี้ โทควรจะใช้มาตรการใดทางกฎหมายเพื่อเป็นมาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของเอกได้บ้างหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 237 เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้
บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน
วินิจฉัย
หลักเกณฑ์ที่เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ประกอบด้วย
1 ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล หมายถึง นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ซึ่งก็คือ นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง
2 ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบ
3 นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ ถ้ามิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้) ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้ (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)
4 หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้ (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)
5 การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกทำหนังสือปลดหนี้ให้แก่ตรีโดยรู้ดีว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วจะเป็นทางให้โทเจ้าหนี้เสียเปรียบ ทั้งเมื่อทำนิติกรรมแล้วเอกก็ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีก การกระทำดังกล่าวของเอกจึงเป็นการฉ้อฉลโทผู้เป็นเจ้าหนี้ตามมาตรา 237 วรรคแรก ทั้งนี้ นิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลไม่ได้หมายความเฉพาะนิติกรรมอันเป็นการโอนทรัพย์สินเท่านั้น นิติกรรมที่เป็นการสละสิทธิหรือประโยชน์ หรือทรัพย์สินสิ่งใดที่ลูกหนี้ได้ไว้แล้ว ก็เป็นการฉ้อฉลตามความในมาตรา 237 ได้
ดังนั้น โทเจ้าหนี้จึงควรใช้มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของเอก (ลูกหนี้) โดยการร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการปลดหนี้ อันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้ตามมาตรา 237 วรรคแรก
สรุป โทเจ้าหนี้จึงควรใช้มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของเอก (ลูกหนี้) โดยการร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการปลดหนี้ อันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้
ข้อ 4 จันทร์และอังคารทำสัญญาขายม้าตัวหนึ่งให้พุธ เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระจันทร์จูงม้าไปส่งมอบให้แก่พุธตามสัญญาซื้อขาย ตามวันเวลาที่กำหนดกันไว้โดยแน่นอน แต่พุธปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้ โดยไม่มีเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า การปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ของพุธมีผลถึงอังคารด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 207 ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด
มาตรา 294 การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย
มาตรา 301 ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน
วินิจฉัย
การที่เจ้าหนี้จะตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 นี้ ต้องครบองค์ประกอบ 2 ประการ คือ
1 ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว
2 เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างโดยกฎหมาย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์และอังคารขายม้าตัวหนึ่งให้พุธ ถือเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งชำระกันมิได้ ทั้งจันทร์และอังคารต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ทั้งนี้ตามมาตรา 301
เมื่อได้ความว่า ถึงกำหนดชำระหนี้จันทร์จูงม้าไปส่งมอบให้พุธเจ้าหนี้ตามสัญญาซื้อขาย ตามวันเวลาที่กำหนดไว้โดยแน่นอน กรณีจึงถือว่าจันทร์ลูกหนี้ได้ปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว เมื่อพุธเจ้าหนี้ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้โดยไม่มีเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงถือว่าพุธเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207
ดังนั้น การที่พุธเจ้าหนี้ผิดนัดต่อจันทร์ลูกหนี้คนหนึ่ง กรณีย่อมถือว่าพุธเจ้าหนี้ผิดนัดต่ออังคารลูกหนี้อีกคนหนึ่งด้วยตามมาตรา 294 ที่ว่า การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย
สรุป การปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ของพุธมีผลถึงอังคารลูกหนี้อีกคนหนึ่งด้วย