การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1 นายเอก ได้กู้เงินจากนายข้อง 100,000 บาท โดยนายเอกได้เขียนข้อความลงในกระดาษด้วยลายมือตนเองว่า ข้าพเจ้านายเอก ได้ยืมเงิน 100,000 บาท ไปจากนายข้อง เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548 แล้วนายเอกลงลายมือชื่อในกระดาษนั้นมอบกระดาษนั้นแก่นายข้อง นายข้องมอบเงินแก่นายเอกไป โดยกล่าวด้วยว่า ช่วงที่ยืมไปนี้ไม่คิดดอกเบี้ย เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน เวลาผ่านไปนานหลายปี นายข้องเห็นว่า นายเอกยังไม่ได้ชำระเงินดังกล่าวคืนแก่ตน นายข้องจึงมาปรึกษานักศึกษาว่า จะทำอย่างไรจึงจะได้รับเงินต้นพร้อมอัตราดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดจากนายเอก จึงให้นักศึกษาแนะนำนายข้องว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง จึงจะเป็นไปตามที่นายข้องต้องการ
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 7 ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
มาตรา 203 วรรคแรก ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน
มาตรา 204 วรรคแรก ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้น เจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว
มาตรา 224 วรรคแรก หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้เขียนข้อความลงในกระดาษด้วยลายมือตนเองว่า “ข้าพเจ้านายเอก ได้ยืมเงิน 100,000 บาท ไปจากนายข้อง เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548” แล้วนายเอกลงลายมือชื่อในกระดาษนั้น เห็นได้ชัดว่าข้อความในกระดาษซึ่งเป็นหลักฐานแห่งสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่อย่างใด ทั้งตามพฤติการณ์ก็ไม่ปรากฏว่านายเอกกับนายข้องได้ตกลงกันในเรื่องนี้ไว้ด้วย กรณีจึงเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 203 วรรคแรกที่ว่า ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ เช่นนี้ นายข้องเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกให้นายเอกลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และถือได้ว่าหนี้เงินกู้รายนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว (ฎ. 917/2539)
สำหรับดอกเบี้ยนั้น โดยหลักแล้วนายข้องจะคิดดอกเบี้ยจากหนี้เงินกู้ยืมหาได้ไม่ เพราะนายข้องและนายเอกไม่มีเจตนาจะเรียกดอกเบี้ยแก่กัน กรณีจึงไม่ต้องบทบัญญัติมาตรา 7 ที่ว่า “ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน” ซึ่งหมายความเฉพาะกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันหรือมีเจตนาที่จะเรียกดอกเบี้ยจากกัน แต่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้เท่านั้น นายข้องจึงเรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากนายเอกในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีตามมาตรา 7 ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม หากนายข้องต้องการได้ดอกเบี้ย นายข้องจะต้องให้คำเตือนนายเอกลูกหนี้ด้วยการทวงถามให้นายเอกชำระหนี้เงินกู้ 100,000 บาท หากนายเอกไม่ชำระหนี้หลังจากนายข้องเตือนแล้ว นายเอกก็จะตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีตามมาตรา 204 วรรคแรก เมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้และหนี้นั้นเป็นหนี้เงิน นายข้องย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่นายเอกผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปีได้ตามมาตรา 224 วรรคแรก
ดังนั้น ในกรณีนี้ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายข้องว่า นายข้องมีสิทธิเรียกเงินต้น 100,000 บาท คืนได้ทันที เพราะถือว่าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วตามมาตรา 203 วรรคแรก ส่วนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดนั้น นายข้องจะเรียกได้ก็ต่อเมื่อนายข้องได้เตือนให้นายเอกชำระหนี้แล้ว เมื่อนายเอกไม่ชำระหนี้ตามคำเตือนก็จะตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 204 วรรคแรก นายข้องก็จะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 224 วรรคแรก ส่วนดอกเบี้ยก่อนหน้าที่นายเอกจะผิดนัด นายข้องไม่สามารถเรียกให้นายเอกชำระได้ เพราะคู่สัญญาไม่มีเจตนาจะเรียกดอกเบี้ยแก่กันเลย
สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายข้องดังกล่าวข้างต้น
ข้อ 2 บริษัทคำพอง จำกัด รับจ้างสร้างหม้อต้มกลั่นพลังงานไอน้ำให้แก่โรงงานของบริษัทสะดวกค้า จำกัด โดยจะต้องส่งมอบพร้อมติดตั้งและทดสอบการทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ ที่โรงงานของบริษัทสะดวกค้า จำกัด ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2551 แต่เนื่องจากหม้อต้มกลั่นนี้มีขนาดใหญ่มาก จำเป็นที่บริษัทสะดวกค้า จำกัด จะต้องจัดเตรียมพื้นที่โรงงานให้พร้อมสำหรับรองรับขนาดและน้ำหนักของหม้อต้มกลั่นนี้ โดยจะต้องให้แล้วเสร็จในวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ต่อมา บริษัทคำพอง จำกัด
ได้สร้างหม้อต้มกลั่นเสร็จเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2551 จึงได้แจ้งไปยังบริษัทสะดวกค้า จำกัด พร้อมที่จะนำหม้อต้มกลั่นไปติดตั้งและทดสอบตามกำหนดในสัญญา แต่ในวันนั้นบริษัทสะดวกค้า จำกัด ยังจัดเตรียมพื้นที่ไม่เสร็จ และจะเสร็จอย่างเร็วในวันที่ 10 สิงหาคม 2551 ต่อมาวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 บริษัทคำพอง จำกัด ทราบแน่นอนว่า
แม้จะนำหม้อต้มกลั่นไปส่งมอบตามกำหนดก็ไม่อาจติดตั้งและทดสอบการทำงานได้ตามสัญญา จึงได้ตัดสินใจไม่นำหม้อต้มกลั่นไปติดตั้งตามกำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและเกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เป็นเหตุให้บริษัทสะดวกค้า จำกัด คิดจะนำคดีไปฟ้องศาลกล่าวอ้างว่าบริษัทคำพอง จำกัด ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ตามกำหนด และเรียกค่าเสียหาย บริษัทสะดวกค้า จำกัด จึงมาขอคำปรึกษาจากนักศึกษาว่า บริษัทคำพอง จำกัด ต้องรับผิดชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 209 ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอันใด ท่านว่าที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็แต่เมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ บริษัทคำพอง จำกัด จะต้องรับผิดหรือไม่ เห็นว่า การที่คู่สัญญาได้ตกลงให้บริษัทสะดวกค้า จำกัด เจ้าหนี้ตระเตรียมพื้นที่โรงงานให้พร้อมโดยจะต้องให้แล้วเสร็จในวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ย่อมถือเป็นกรณีที่คู่สัญญาได้กำหนดเวลาไว้แน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด หรือถือเป็นสัญญาที่ถือเอากำหนดเวลาและวิธีการส่งมอบเป็นข้อสาระสำคัญตามมาตรา 209 ในกรณีเช่นนี้บริษัทคำพองลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ก็ต่อเมื่อบริษัทสะดวกค้า จำกัด ได้ตระเตรียมพื้นที่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้เท่านั้น ถ้าหากเจ้าหนี้มิได้กระทำการอันนั้นภายในเวลาที่ได้กำหนดกันไว้ ลูกหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้และถือว่าเจ้าหนี้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน ทั้งจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดในการไม่ชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ไม่ได้
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 บริษัทสะดวกค้า จำกัด เจ้าหนี้ยังจัดเตรียมพื้นที่ไม่เสร็จ และจะเสร็จอย่างเร็วในวันที่ 10 สิงหาคม 2551 จึงเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ละเลยไม่รับชำระหนี้จากลูกหนี้ภายในกำหนดเวลาอันเป็นสาระสำคัญ บริษัทสะดวกค้า จำกัด จึงเป็นฝ่ายผิดนัดและผิดสัญญา การที่บริษัทคำพอง จำกัด ตัดสินใจไม่นำหม้อต้มกลั่นไปติดตั้งตามกำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น บริษัทคำพอง จำกัด ย่อมมีสิทธิทำได้ตามมาตรา 209 ที่กำหนดว่า ลูกหนี้จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด ดังนั้น เมื่อบริษัทสะดวกค้า จำกัด เจ้าหนี้เป็นผู้ผิดนัด จึงไม่อาจฟ้องคดีเพื่อให้บริษัท คำพอง จำกัด รับผิดตามสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้ บริษัทคำพอง จำกัด จึงไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด (ฎ. 44/2532)
สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่บริษัทสะดวกค้า จำกัด ว่า บริษัทคำพอง จำกัด ไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด
ข้อ 3 จันทร์ได้ยกที่ดิน 1 แปลง ให้แก่อังคารโดยเสน่หาถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมาอังคารได้ประพฤติเนรคุณ โดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรง จันทร์จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้ แต่ปรากฏว่าก่อนจันทร์ยื่นฟ้องอังคารเรียกถอนคืนการให้เพียง 1 วัน อังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นให้แก่พุธ โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนและพุธรับไว้โดยสุจริต ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้วิธีใดเหมาะสมที่สุด ที่ควรนำมาใช้กับเรื่องนี้ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 237 เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้
บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ มาตรการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เหมาะสมที่สุด คือ การเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237 สำหรับหลักเกณฑ์ที่เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลดังกล่าว ประกอบด้วย
1 ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล หมายถึง นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ซึ่งก็คือ นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง
2 ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบ
3 นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ ถ้ามิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้) ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้ (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)
4 หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้ (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)
5 การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวรับฟังได้ว่า จันทร์ (ผู้ให้) ยกที่ดิน 1 แปลงให้แก่อังคารโดยเสน่หาถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมาการที่อังคารได้ประพฤติเนรคุณโดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรง กรณีเช่นนี้จันทร์จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้นับแต่วันที่ทราบเหตุเนรคุณตามมาตรา 531 จันทร์จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้และอังคารอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้
แต่ปรากฏว่าก่อนจันทร์จะยื่นฟ้องอังคารเรียกถอนคืนการให้เพียง 1 วัน อังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นให้แก่พุธโดยเสน่หา โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนทั้งพุธก็รับดอนไว้โดยสุจริต ย่อมถือได้ว่าเป็นการทำนิติกรรมอันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ ซึ่งเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้ เมื่อกรณีเป็นการยกให้โดยเสน่หา การจะขอเพิกถอนการฉ้อฉลได้โดยกฎหมายกำหนดแต่เพียงว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้ ดังนั้นการที่อังคารลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวถึงเหตุที่จะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แม้พุธผู้ได้ลาภงอกจะสุจริตไม่รู้ถึงเหตุนั้นด้วย จันทร์ (ผู้ให้) ซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าหนี้และเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินโดยเสน่หาระหว่างอังคารกับพุธได้ตามมาตรา 237 วรรคแรก
สรุป มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เหมาะสมที่สุด คือ การร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินโดยเสน่หาระหว่างอังคารกับพุธอันเป็นการฉ้อฉลตามมาตรา 237 วรรคแรก
ข้อ 4 ก และ ข เป็นเจ้าหนี้ร่วม ในหนี้เงินสองแสนบาท โดยมี ค เป็นลูกหนี้ หนี้รายนี้มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้เอาไว้ ถ้าต่อมาปรากฏว่า ก แต่เพียงผู้เดียว เตือนให้ ค ชำระหนี้ และ ค ผิดนัดไม่ยอมชำระหนี้ หลังจากนั้น ค ไปชำระหนี้ให้ ข ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า การชำระหนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และ ก จะเรียกดอกเบี้ยจาก ค ฐานผิดนัดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 224 วรรคแรก หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น
มาตรา 295 ข้อความจริงอื่นใด นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 292 ถึง 294 นั้น เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง
ความที่ว่ามานี้ เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำบอกกล่าว การผิดนัด การที่หยิบยกอ้างความผิด การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง กำหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกันไปกับหนี้สิน
มาตรา 298 ถ้าบุคคลหลายคนมีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนอาจจะเรียกให้ชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าลูกหนี้จำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงแต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือ เจ้าหนี้ร่วมกัน) ก็ดี ท่านว่าลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แต่คนใดคนหนึ่งก็ได้ตามแต่จะเลือก ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ แม้ทั้งนี้เจ้าหนี้คนหนึ่งจะได้ยื่นฟ้องเรียกชำระหนี้ไว้แล้ว
มาตรา 299 วรรคสาม นอกจากนี้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 292, 293 และ 295 มาใช้บังคับโดยอนุโลม กล่าวโดยเฉพาะก็คือ แม้เจ้าหนี้ร่วมกันคนหนึ่งจะโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่บุคคลอื่นไปก็หากระทบกระทั่งถึงสิทธิของเจ้าหนี้คนอื่นๆด้วยไม่
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ร่วมนั้น ลูกหนี้มีสิทธิเลือกชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งก็ได้ตามแต่ลูกหนี้จะเลือก แม้ว่าเจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งจะได้ฟ้องคดีเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ไว้แล้วก็ตาม (มาตรา 298)
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า การชำระหนี้ของ ค ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ร่วมเป็นสิทธิของลูกหนี้ที่จะเลือกชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งก็ได้ ดังนั้นในกรณีนี้ ลูกหนี้จึงมีสิทธิชำระหนี้ให้แก่ ข ได้ แม้ ข จะมิได้เรียกให้ ค ลูกหนี้ชำระหนี้ก็ตาม การที่ ค ชำระหนี้ให้ ข จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า ก จะเรียกดอกเบี้ยจาก ค ในระหว่างผิดนัดได้หรือไม่ เห็นว่า หนี้รายนี้เป็นหนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้เอาไว้ตามมาตรา 203 วรรคแรก เจ้าหนี้จึงต้องเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนตามมาตรา 204 วรรคแรก และเมื่อเป็นหนี้ที่มีเจ้าหนี้ร่วม เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งจะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก็ได้ เมื่อ ก แต่เพียงผู้เดียว เตือนให้ ค ชำระหนี้ และ ค ผิดนัดไม่ยอมชำระหนี้ย่อมถือว่า ค ผิดนัดต่อ ก เจ้าหนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น มิได้ผิดนัดต่อ ข ด้วย ตามมาตรา 295 ประกอบมาตรา 299 วรรคสาม ทั้งนี้เพราะถือว่าการผิดนัดดังกล่าวเป็นเรื่องท้าวถึงตัวเจ้าหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณแต่เฉพาะแก่เจ้าหนี้คนนั้น เมื่อ ค ผิดนัดต่อ ก เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจาก ค ได้ตามมาตรา 224 วรรคแรก จะอ้างว่าได้ชำระหนี้ให้แก่ ข แล้วหนี้จึงระงับสิ้นไป ไม่ต้องชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดไม่ได้ เพราะการผิดนัดดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการชำระหนี้
สรุป การชำระหนี้ของ ค ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 298 และ ก มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดจาก ค ได้ตามมาตรา 224 วรรคแรก 295 และ 299 วรรคสาม