การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ปัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากบริษัท  ซิตี้  ลิสซิ่ง  จำกัด  ตามเงื่อนไขของสัญญาเช่าซื้อ  ผู้เช่าต้องชำระเบี้ยประกันภัย  (ชั้นหนึ่งคุ้มครองถึงกรณีรถหาย)  โดยผู้ให้เช่าเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์เต็มจำนวน  และมีข้อสัญญาว่ากรณีรถสูญหาย  ผู้เช่ายอมชดใช้ค่ารถยนต์เป็นเงินเท่ากับค่าเช่าซื้อที่ยังค้างชำระทั้งหมดทันที  โดยผู้เช่าไม่ยกเหตุที่ผู้ให้เช่ามีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยใดๆทั้งสิ้น

เมื่อรถที่เช่าถูกลักไป  และผู้ให้เช่าได้รับค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยแล้ว  จะมาฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่ายังค้างชำระตามข้อสัญญาได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  5  ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี  ในการชำระหนี้ก็ดี  บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต

มาตรา  213  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้  เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้  ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด  เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้  ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

ส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด  เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายและให้จัดการอันควรเพื่อกาลภายหน้าด้วยก็ได้

อนึ่งบทบัญญัติในวรรคทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนนี้  หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายไม่

วินิจฉัย

กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องการบังคับชำระหนี้ในค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาเช่าซื้อ

การที่เจ้าหนี้จะบังคับเอาค่าสินไหมทดแทนความเสียหายโดยหลักแล้ว  เพื่อทดแทนความเสียหายตามที่ได้รับจากความเสียหายจริงเท่านั้น  ตามมาตรา  213  วรรคท้าย

ในเมื่อรถที่เช่าถูกลักไป  และผู้ให้เช่าได้รับค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยเต็มจำนวนตามกรมธรรม์แล้ว  ถ้าจะมาเรียกเอาจากผู้เช่าอีก  โดยอ้างข้อสัญญาที่ว่า  กรณีรถสูญหาย  ผู้เช่ายอมชดใช้ค่ารถยนต์เป็นเงินเท่ากับค่าเช่าซื้อที่ยังค้างชำระทั้งหมดทันที  โดยผู้เช่าไม่ยกเหตุที่ผู้ให้เช่ามีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ใดๆทั้งสิ้น  ย่อมเป็นการได้รับค่าสินไหมทดแทนสองทางอันเป็นการเกินกว่าความเสียหายที่ได้รับ  ย่อมเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตตามมาตรา  5

สรุป  ผู้ให้เช่าซื้อจะฟ้องเรียกเอาค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อยังค้างชำระอีกไม่ได้

 

 

ข้อ  2  ก  ทำสัญญาจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินจาก  ข  ในราคาสามล้านห้าแสนบาท  ในวันทำสัญญา  ก  วางมัดจำไว้ห้าแสนบาท  อีกสามล้านจะชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ซึ่งกำหนดไว้แน่นอน  ก่อนกำหนดโอนเกิดไฟไหม้บ้านเสียหายทั้งหลัง  แต่  ข  ก็ได้รับค่าสินไหมทดแทนในตัวบ้านที่ได้ทำประกันภัยไว้อยากทราบว่า  ก  จะบังคับตามสัญญาได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  226  วรรคสอง  ช่วงทรัพย์ได้แก่  เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่งในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกับทรัพย์สินอันก่อน

มาตรา  228  วรรคแรก  ถ้าพฤติการณ์ซึ่งทำให้การชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัยนั้น  เป็นผลให้ลูกหนี้ได้ซึ่งของแทนก็ดี  หรือได้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อทรัพย์อันจะพึงได้แก่ตนนั้นก็ดี  ท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้  หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้

วินิจฉัย

จากมาตรา  226  วรรคสอง  ช่วงทรัพย์  หมายถึง  การเปลี่ยนตัวทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้โดยผลของกฎหมาย  เป็นการที่เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่งในฐานะอย่างเดียวกัน  อันจะทำให้ทรัพย์สินที่เข้าไปแทนที่ตกอยู่ภายใต้การบังคับชำระหนี้แทนทรัพย์สินเดิม

ดังนั้นค่าสินไหมทดแทนบ้านที่ถูกไฟไหม้เป็นช่วงทรัพย์ตามมาตรา  226  วรรคสอง

กรณีนี้เป็นเรื่องการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย  คือ  ลูกหนี้ไม่สามารถส่งมอบทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ได้  เนื่องจากทรัพย์สูญหายหรือถูกทำลาย  และต่อมาลูกหนี้ได้ทรัพย์สินอื่นมาแทน  หรือได้สิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทน  กฎหมายให้เอาทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นเข้าแทนที่เป็นช่วงทรัพย์ของทรัพย์เดิม  ดังนั้นเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องเอาทรัพย์สินหรือค่าสินไหมทดแทนจากลูกนี้ได้  หรือจะเรียกจากบุคคลภายนอกโดยตรงเลยก็ได้

เมื่อบ้านถูกไฟไหม้การชำระหนี้ในตัวบ้านเป็นอันพ้นวิสัย  ก  เจ้าหนี้ย่อมเรียกให้  ข  ส่งมอบหรือเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้  ตามมาตรา  228  วรรคแรก

สรุป  ก  บังคับตามสัญญาจะซื้อจะขายให้  ข  โอนที่ดินและส่งมอบค่าสินไหมทดแทนบ้านได้  แต่  ก  ต้องชำระราคาตามสัญญาซื้อขาย

 

 

ข้อ  3  นางจันทร์  (ผู้ให้)  ยกที่นาแปลงหนึ่งให้แก่นายอังคาร  (ผู้รับการให้)  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อมานางจันทร์มีสิทธิที่จะเรียกถอนคืนการให้จากนายอังคารได้  เนื่องจากเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  531  แต่ก่อนที่นายอังคารจะถูกฟ้องเพิกถอนการให้เพราะเหตุเนรคุณนั้น  นายอังคารได้โอนที่นาแปลงดังกล่าวให้แก่นายพุธโดยเสน่หา  และนายพุธรับโอนไว้โดยถูกต้องและโดยสุจริต

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  นางจันทร์จะใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของนายอังคารในกรณีดังกล่าวได้อย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

วินิจฉัย

ตามาตรา  237  การเพิกถอนการฉ้อฉลนี้  กฎหมายบัญญัติขึ้นมาเพื่อจะแก้ปัญหาในกรณีที่เจ้าหนี้กำลังจะบังคับเอาแก่ลูกหนี้  แต่ทรัพย์สินของลูกหนี้ไม่มีเหลืออยู่แล้ว  หรือมีเหลือแต่ไม่เพียงพอที่จะชำระแก่เจ้าหนี้  เนื่องจากลูกหนี้ได้โอนไปให้ผู้อื่นเสียแล้ว

ดังนั้น  มาตรา  237  จึงให้อำนาจเจ้าหนี้ที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมใดๆ  ที่ลูกหนี้ได้ทำไปโดยฉ้อฉลเจ้าหนี้  และเมื่อศาลเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวแล้ว  ก็มีผลเท่ากับว่าลูกหนี้ไม่เคยทำนิติกรรมฉ้อฉลนั้นเลย  ทรัพย์สินดังกล่าวก็คงกลับเข้ามาอยู่ที่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ดังเดิม

หลักเกณฑ์การเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา  237  ประกอบด้วย

1       ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล  หมายถึง  นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  ซึ่งก็คือ  นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง  แต่ถ้าลูกหนี้ทำนิติกรรมไปแล้วแต่ยังมีทรัพย์สินอีกมากมายที่จะชำระหนี้ได้  ดังนี้ย่อมไม่ถือว่าเจ้าหนี้เสียเปรียบ

2       การทำนิติกรรมของลูกหนี้นั้น  ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบถ้าไม่รู้ก็ย่อมไม่ถือเป็นการฉ้อฉล

3       นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้  ถ้าทำโดยมิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว  เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ  ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น  (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้)  ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้  (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม  ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)

4       หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา  เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้  (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)

5       การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น  จะไม่นำมาใช้กับนิติกรรมใดๆ  อันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

ตามปัญหา  นางจันทร์  (ผู้ให้)  ยกที่นาแปลงหนึ่งให้แก่นายอังคาร  (ผู้รับการให้)  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน  ต่อมานางจันทร์มีสิทธิที่จะเรียกถอนคืนการให้จากนายอังคารได้  เนื่องจากเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  531  แต่ก่อนที่นายอังคารจะถูกฟ้องเพิกถอนการให้เพราะเหตุเนรคุณนั้น  นายอังคารได้โอนที่นาแปลงดังกล่าวให้แก่นายพุธโดยเสน่หา  และนายพุธรับโอนไว้โดยถูกต้องและโดยสุจริต  ย่อมถือได้ว่าเป็นการทำนิติกรรมอันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ  และเมื่อกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา  เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้  กรณีนี้ถือว่าผู้ให้อยู่ในฐานะเจ้าหนี้และเป็นฝ่ายที่ต้องเสียเปรียบ  จึงควรใช้มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ด้วยการใช้สิทธิเพิกถอนการฉ้อฉล  ตามมาตรา  237  วรรคแรก  เพิกถอนการฉ้อฉลได้

สรุป  นางจันทร์ใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของนายอังคารได้โดยร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการฉ้อฉลของนายอังคารดังกล่าวได้ตามมาตรา  237  วรรคแรก

 

 

ข้อ  4  ก  และ  ข  เป็นลูกหนี้ร่วม  กู้เงินของ  ค  ไป  20,000  บาท  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  ก  แต่ผู้เดียวนำเงิน  20,000  บาท  ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อ  ค  โดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่  ค  ต้องการได้รับดอกเบี้ยต่อไป  จึงปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า

(1) การขอปฏิบัติการชำระหนี้ของ  ก  จะเป็นคุณประโยชน์ต่อ  ข  ด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด

(2) ค  จะเรียกดอกเบี้ยจาก  ข  ต่อไปได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  221  หนี้เงินอันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น  ท่านว่าจะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่

มาตรา  294  การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น  ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย

วินิจฉัย

เจ้าหนี้จะตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรานี้  ต้องครบองค์ประกอบ  2  ประการ  คือ

1       ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว

2       เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างโดยกฎหมาย

(1) การที่จะถือว่าลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้วอันจะมีผลให้เจ้าหนี้ผู้ปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดนั้น  จะต้องปรากฏว่าลูกหนี้พร้อมที่จะชำระหนี้โดยแท้จริง  และขอปฏิบัติการชำระหนี้ได้กระทำโดยชอบแล้วด้วยกฎหมาย  ถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด

การที่  ก  นำเงิน   20,000  บาท  ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบต่อ  ค  แต่  ค  ปฏิเสธ  จึงถือว่า  ค  เจ้าหนี้ผิดนัดต่อ  ก  ตามมาตรา  207  มีผลเท่ากับ  ค  ผิดนัดต่อ  ข  ด้วย  ตามมาตรา  294 

(2) เมื่อ  ค  เจ้าหนี้ผิดนัด  ค  จึงเรียกดอกเบี้ยต่อ  ข  ต่อไปไม่ได้  ตามมาตรา  221

Advertisement