การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1 จำเลยสั่งซื้อหินคลุกเพื่อใช้ในการก่อสร้างหลายครั้ง ครั้งละหลายพ่วง ซึ่งแต่ละครั้งจำเลยต้องชำระราคาค่าซื้อภายในสามสิบวัน ให้ท่านตอบคำถามต่อไปนี้โดยยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน
ก. เป็นสิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดเวลาหรือไม่
ข. สิทธิเรียกร้องถึงกำหนดเมื่อใด
ค. อายุความจะเริ่มนับตั้งแต่วันไหน กี่เดือน กี่ปี
ง. ถ้าจำเลยผิดนัด จะถือว่าผิดนัดตั้งแต่วันไหน จำเลยจะต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 193/12 อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องให้งดเว้นกระทำการอย่างใด ให้เริ่มนับแต่เวลาแรกที่ฝ่าฝืนกระทำการนั้น
มาตรา 193/33 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ ให้มีกำหนดอายุความห้าปี
(4) เงินค้างจ่าย คือ เงินเดือน เงินปี เงินบำนาญ ค่าอุปการะเลี้ยงดู และเงินอื่นๆในลักษณะทำนองเดียวกับที่มีการกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา
มาตรา 203 วรรคสอง ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้
มาตรา 204 ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้น เจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว
ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว
มาตรา 224 วรรคแรก หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น
วินิจฉัย
ตามปัญหา การที่จำเลยสั่งซื้อหินคลุกเพื่อใช้ในการก่อสร้างหลายๆครั้ง ครั้งละหลายพ่วง ซึ่งแต่ละครั้ง จำเลยต้องชำระราคาค่าซื้อภายใน 30 วันนั้น
ก. การที่จำเลยต้องชำระราคาสินค้าภายใน 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบสินค้า ถือว่าเป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน ดังนั้นสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเป็นสิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดเวลาตามมาตรา 203 วรรคสอง
ข. เมื่อสิทธิเรียกร้องของโจทก์เป็นสิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดเวลา ดังนั้น สิทธิเรียกร้องย่อมถึงกำหนดเมื่อครบกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้ส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลย
ตัวอย่างเช่น โจทก์ได้ส่งมอบหินคลุกให้แก่จำเลยวันที่ 1 เมษายน 2556 กำหนดเวลาที่จำเลยจะต้องชำระราคาสินค้าคือวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 ดังนั้นสิทธิเรียกร้องกรณีนี้ถึงกำหนดวันที่ 1 พฤษภาคม 2556
ค. ตามมาตรา 193/12 ได้บัญญัติว่าอายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ดังนั้น เมื่อสิทธิเรียกร้องถึงกำหนดวันใด อายุความก็จะเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น เช่น ตามตัวอย่างดังกล่าว เมื่อสิทธิเรียกร้องถึงกำหนดวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 ดังนั้นอายุความในกรณีนี้ก็จะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2556
และสำหรับกรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อเป็นสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับเงินที่มีการกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา ดังนั้นจึงมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33(4)
ง. ถ้าจำเลยผิดนัด ย่อมถือว่าจำเลยผิดนัดนับตั้งแต่วันที่จำเลยมิได้ชำระหนี้ตามกำหนด โดยที่เจ้าหนี้ไม่ต้องเตือน ตามมาตรา 204 วรรคสอง เช่นตามตัวอย่างดังกล่าวเมื่อถึงกำหนดวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 จำเลยยังมิได้ชำระหนี้ ย่อมถือว่าจำเลยได้ตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีโดยที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไม่ต้องเตือน และเมื่อจำเลยผิดนัด จำเลยก็จะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 224 วรรคแรก
ข้อ 2 บริษัท มั่งมี จำกัด ค้างชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลกรมสรรพากรอยู่ห้าล้านบาทเศษ บริษัทฯก็ไม่ขวนขวายที่จะทำการชำระหนี้ภาษีให้เสร็จสิ้น ในขณะที่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ มีมูลค่าหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบ แต่กรรมการบริษัทก็เพิกเฉยไม่เรียกมูลค่าหุ้นที่ผู้ถือหุ้นยังส่งใช้ไม่ครบนั้น กรมฯจะบังคับค่าภาษีเอากับบริษัททางใดได้บ้าง เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 233 ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว หากลูกหนี้ขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องของตน จนเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ เจ้าหนี้ก็สามารถใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นได้ตามมาตรา 233
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บริษัท มั่งมี จำกัด ค้างชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลกรมสรรพากร แต่บริษัทฯก็ไม่ขวนขวายที่จะทำการชำระหนี้ภาษีให้เสร็จสิ้น และในขณะที่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ มีมูลค่าหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบ แต่กรรมการบริษัทก็เพิกเฉยไม่เรียกมูลค่าหุ้นที่ผู้ถือหุ้นยังส่งใช้ไม่ครบนั้น ย่อมถือได้ว่า เป็นกรณีที่ลูกหนี้คือบริษัทฯมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ถือหุ้นชำระมูลค่าหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบ แต่ได้ขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องนั้น เป็นเหตุให้เจ้าหนี้คือกรมสรรพากรต้องเสียประโยชน์ ดังนั้น กรมสรรพากรซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมสามารถใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้ โดยการเรียกมูลค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบ เพื่อนำมาชำระภาษีได้ตามมาตรา 233
สรุป กรมสรรพากรจะบังคับค่าภาษีเอากับบริษัทฯได้ โดยการใช้สิทธิเรียกร้องของบริษัทฯ เรียกมูลค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบเพื่อนำมาชำระภาษี
ข้อ 3 ก กู้เงิน ข สามแสนบาท โดยจดจำนองที่ดินของตนประกันหนี้เงินกู้ไว้ แต่ ก กลับนำที่ดินที่ติดจำนองดังกล่าวไปทำสัญญาจะขายให้ ค โดย ค รู้ว่าที่ดินติดจำนอง ข อยู่ ข จะขอเพิกถอนการขายได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 214 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่นๆซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย
มาตรา 237 เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้
บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนซึ่งนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลง ทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบได้ ตามมาตรา 237 วรรคแรก แต่ถ้านิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงนั้น ไม่ได้ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบแต่อย่างใด กล่าวคือ แม้ลูกหนี้จะได้ทำนิติกรรมนั้น ลูกหนี้ก็ยังมีทรัพย์สินที่เจ้าหนี้ยังสามารถที่จะบังคับชำระหนี้ได้ ดังนี้ เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นไม่ได้
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก กู้เงิน ข โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินของตนประกันหนี้เงินกู้ไว้ แต่ ก กลับนำที่ดินที่ติดจำนองดังกล่าวไปทำสัญญาจะขายให้ ค โดย ค ก็รู้ว่าที่ดินติดจำนอง ข อยู่นั้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยอยู่ที่ว่า การกระทำของ ก ลูกหนี้ดังกล่าวนั้นทำให้ ข เจ้าหนี้เสียเปรียบหรือไม่ กรณีนี้เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติมาตรา 214 ที่ว่า ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิงนั้น หมายถึง การที่เจ้าหนี้สามารถบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งหมดนั้น กฎหมายมีข้อยกเว้นไว้ว่า ถ้าเป็นเรื่องของสัญญาจำนองแล้วก็ต้องเป็นไปตามมาตรา 733 ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 214 กล่าวคือ ในกรณีที่เป็นทรัพย์สินที่จำนองไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะโอนไปกี่ทอด จำนองก็ย่อมจะติดไปด้วยเสมอ ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้รับจำนองย่อมสามารถที่จะบังคับจำนองเอากับทรัพย์สินที่จำนองได้เสมอเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ แม้ ก จะเอาที่ดินที่ติดจำนองไปทำสัญญาจะขายให้ ค จึงไม่ถือว่า เป็นทางทำให้ ข เจ้าหนี้เสียเปรียบ เพราะแม้ที่ดินนั้นจะโอนไปเป็นของ ค ข เจ้าหนี้ก็ยังสามารถบังคับจำนองเอากับที่ดินที่ติดจำนองนั้นได้ ดังนั้น ข จึงไม่สามารถขอเพิกถอนการขายได้
สรุป ข จะเพิกถอนการขายไม่ได้
ข้อ 4 แดงกู้เงินขาวสองแสนบาท ต่อมาขาวได้โอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ให้กับเขียว และเขียวมีหนังสือบอกกล่าวการโอนส่งไปให้แดงแล้ว ก่อนได้รับคำบอกกล่าว แดงนำรถยนต์ของตนตีใช้หนี้ขาว ขาวรับไว้เพราะเห็นว่าเกินคุ้มถ้าขายก็มีกำไร เมื่อแดงได้รับคำบอกกล่าวเขียวจะบังคับสิทธิเรียกร้องเอากับแดงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 306 วรรคสอง ถ้าลูกหนี้ทำให้พอแก่ใจผู้โอนด้วยการใช้เงิน หรือด้วยประการอื่นเสียแต่ก่อนได้รับบอกกล่าว หรือก่อนได้ตกลงให้โอนไซร้ ลูกหนี้นั้นก็เป็นอันหลุดพ้นจากหนี้
มาตรา 321 ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป
วินิจฉัย
ตามมาตรา 306 วรรคสองดังกล่าวนั้น หมายความว่า ถ้าก่อนลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวหรือก่อนลูกหนี้ได้ตกลงด้วยในการโอนสิทธิเรียกร้อง ลูกหนี้ได้ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ผู้โอนไปแล้ว หรือกระทำประการใดจนเป็นที่พอใจของเจ้าหนี้ เช่น นำทรัพย์สินไปตีใช้หนี้ให้เจ้าหนี้ หนี้เป็นอันระงับไปแล้ว ลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นความรับผิด ผู้รับโอนจะฟ้องเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้อีกไม่ได้ แต่ถ้าภายหลังได้รับคำบอกกล่าวการโอน หรือภายหลังที่ลูกหนี้ยินยอมด้วยแล้ว ถือว่าเจ้าหนี้ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้แล้ว ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระให้เจ้าหนี้ หนี้ไม่ระงับ ผู้รับโอนย่อมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้อีก
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า เขียวจะบังคับสิทธิเรียกร้องเอากับแดงได้หรือไม่ เห็นว่า ก่อนที่แดงลูกหนี้จะได้รับหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องตามมาตรา 306 วรรคแรก แดงได้นำรถยนต์ของตนตีใช้หนี้ให้แก่ขาวผู้โอนไปแล้ว กรณีเช่นนี้จึงเป็นการที่แดงลูกหนี้ทำให้พอใจแก่ขาวผู้โอนด้วยการชำระหนี้ ด้วยประการอื่น และเจ้าหนี้ยอมรับตามมาตรา 321 วรรคแรก หนี้จำนวนดังกล่าวจึงเป็นอันระงับไป แดงลูกหนี้จึงเป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้ ดังนั้น แดงลูกหนี้จึงไม่ต้องชำระหนี้ให้เขียวอีกตามมาตรา 306 วรรคสอง เขียวจะบังคับสิทธิเรียกร้องเอากับแดงไม่ได้
สรุป เขียวจะบังคับสิทธิเรียกร้องเอากับแดงไม่ได้